“ขี้เกียจ” เพื่อสร้างสรรค์

“ขี้เกียจ” เพื่อสร้างสรรค์

“ความขี้เกียจ” ผลักดันให้เกิดนวตกรรม นักจิตวิทยาและนักธุรกิจผู้นำเกิดความคิดว่าความขี้เกียจไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ควรเปลี่ยนคำจำกัดความใหม่

               เด็กชายวัยรุ่นเบื่อหน่ายงานซ้ำซากที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างยิ่งเพราะเขาต้องปิดเปิดวาล์วสลับไปมาอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เกิดแรงดันไอนํ้าจากเตาต้มสูงขึ้นจนนำไปใช้ประโยชน์ได้  วันหนึ่งเจ้านายมาตามหาตัวแต่ก็ไม่พบหากเจอเเต่เครื่องปั๊มที่มีการปิดเปิดวาล์วโดยอัตโนมัติเเละทำงานเป็นอย่างดี    สิ่งที่เด็ก ขี้เกียจ” คนนี้ประดิษฐ์ขึ้นเพราะความเบื่อหน่ายจนฝันกลางวันด้วยจิตล่องลอยได้เปิดยุคใหม่ของเครื่องจักรไอน้ำอัตโนมัติที่ไม่ต้องอาศัยคนปิดเปิดวาล์วอีกต่อไป   นี่คือเรื่องจริงของการร่วมสร้างการผลิตครั้งสำคัญที่เกิดจาก “ความขี้เกียจ เมื่อสองร้อยปีก่อน

             ในช่วงเวลาตอนนี้ที่เราทำงานที่บ้านกันเราพอมีเวลาว่างจากการไม่ต้องเสียเวลาเดินทางน่าจะลองใช้เวลาทำตัวเป็น “คนขี้เกียจ” ไม่ทำอะไรสักพัก  ปล่อยใจฝันกลางวันกันเรื่อยเปื่อยดูบ้าง

       พฤติกรรมของเด็กคนนี้แสดงให้เห็นว่าเวลาที่มนุษย์รู้สึกเบื่อหน่ายจนขี้เกียจที่จะทำงานต่อไป  มนุษย์มักค้นหาหนทางหรือวิธีการที่ง่ายกว่าในการทำงานที่ไม่น่าพึงปรารถนานี้โดยจัดระบบการทำงานให้ง่ายขึ้นเพื่อประหยัดแรงงานและเวลา   พูดง่าย  ก็คือ “ความขี้เกียจ” ผลักดันให้เกิดนวตกรรมขึ้นได้

ปัจจุบันนักจิตวิทยาและนักธุรกิจผู้นำจำนวนหนึ่งเกิดความคิดขึ้นว่า “ความขี้เกียจ” ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย   ควรเปลี่ยนคำจำกัดความเสียใหม่   การปล่อยเวลาให้ล่องลอยโดยไม่ทำอะไรอย่างมีกลยุทธ์ (strategic idleness)  อาจเป็นเครื่องมือที่ทรงอำนาจในการสร้างสรรค์ก็เป็นได้

            Bill Gates และ Walter Chrysler (นักอุตสาหกรรม และนักธุรกิจคนสำคัญในวงการรถยนต์ในทศวรรษ 1920) เป็นผู้บุกเบิกความคิดในแนวนี้ว่า “จะจ้างคนขี้เกียจทำงานที่ยาก    เพราะคน      ขี้เกียจมักค้นพบหนทางที่ง่ายในการทำงาน”    การศึกษาของนักวิจัยชาวคานาดาคนหนึ่งพบว่าการที่ใจล่องลอยอย่างไม่ทำอะไรจะไปช่วยเพิ่มการทำงานของส่วนวงจรในสมองที่เรียกว่า DMN (Default Mode Network) หรือระบบที่เชื่อมส่วนต่าง  ของสมองซึ่งทำงานในเรื่องการแก้ไขปัญหา  เเละเมื่อจิตใจของบุคคลล่องลอยไม่สนใจโลกภายนอกก็จะทำให้การทำงานในส่วนนี้ของสมองยิ่งเพิ่มมากขึ้น

           งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าสมองของมนุษย์พัฒนาขึ้นมาอย่างแฝงความขี้เกียจเอาไว้  บรรพบุรุษของเราเเต่โบราณรู้ว่าพลังงานจากร่างกายเป็นทรัพยากรอันจํากัดที่มีค่ายิ่ง  ดังนั้นจึงต้องถนอมแรงไว้ใช้ในเรื่องที่สำคัญ ซึ่งได้แก่ การหาอาหาร  การหนีจากสัตว์ที่มาทำร้าย     การต่อสู้รักษาชีวิตให้รอด   ฯลฯ    

        บรรพบุรุษของเราเรียนรู้การคิดประเมินการใช้พลังงานร่างกายกับการได้รับผลตอบแทนอย่างไม่รู้ตัว     การใช้แรงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับการอยู่รอด  การทําให้เเรงหมดไปกับเรื่องที่ไม่ใช่ผลตอบแทนระยะสั้นซึ่งทำให้อยู่รอดได้เป็นความเสี่ยง   ดังนั้น จึงเรียนรู้ที่จะใช้แรงงานแบบประหยัดอย่างเอาปลอดภัยไว้ก่อน  การปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเกียจคร้านจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นเรื่องปกติ

           ในช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่ผ่านมา  เมื่อสังคมพัฒนาขึ้น  มนุษย์ได้เรียนรู้ว่าการทำงานหนักเเละความขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากินนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นของตนเองและครอบครัว     จนเกิดเป็นค่านิยมของสังคมขึ้น     เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนคนทั่วไปในโลกนอนเฉลี่ย 9 ชั่วโมง       ต่อคืน     ปัจจุบันเหลือเพียง 6.8 ชั่วโมง เท่านั้น

             ทุกสังคมมีคําสอนว่าการทำงานหนักและความขยันเป็นกุญเเจไปสู่ความสำเร็จและความสุข   ส่วนการฝันกลางวันหรือการปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามจินตนาการอย่างเกียจคร้านเป็นเรื่องที่ไม่พึงปรารถนา ในบางศาสนาถือว่าเป็นบาปด้วยซ้ำ  อย่างไรก็ดีมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าหากมนุษย์ทำงานหนักมากจนถึงจุดหนึ่งก็มีทางโน้มที่ผลิตภาพ (productivity หรือผลผลิตต่อหนึ่งหน่วยของวัตถุดิบ ซึ่งในที่นี้คือคนซึ่งเป็นหัวใจของความกินดีอยู่ดีจะลดลง    คำอธิบายก็คือเมื่อไม่มีเวลาพักผ่อนให้สดชื่น   มนุษย์อาจสร้างความผิดพลาดได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

         เมื่อมนุษย์ถูกบังคับให้ทํางานหนัก ก็มักเน้นความสนใจไปที่ผลงานขั้นสุดท้าย จนทําให้ขาดจินตนาการและความเป็นอิสระในการคิดอันเป็นปัจจัยของการเกิดความคิดสร้างสรรค์  ดังนั้นการคิดหาเเนวทางใหม่หรือการค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาแบบใหม่  มาใช้จึงมักไม่เกิดขึ้น

           แนวคิดใหม่ในเรื่องการใช้บางเวลาไปกับการฝันกลางวันโดยปล่อยใจให้ล่องลอย  ปล่อยตัวแบบคนขี้เกียจอย่างจงใจได้รับการสนับสนุนจากงานศึกษาวิจัยด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยา (neuroscience) มากขึ้นทุกทีจนเกิดความเข้าใจใหม่ในเรื่องคุณค่าของพฤติกรรมดังกล่าว

           งานวิจัยชี้ว่าการหยุดพักงานและปล่อยให้ใจโปร่งล่องลอยจะช่วยให้สมองสามารถเก็บข้อมูลได้ดีขึ้น เกิดความคิดใหม่  มองเห็นแง่มุมสดใหม่ และเห็นการเชื่อมต่อลักษณะใหม่  ของความคิด

                ในช่วงเวลานี้ที่เรามีเวลาว่างให้ฝันกลางวัน หรือคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้มากขึ้น จึงควรหาประโยชน์อย่างเต็มที่    ทำตัวแบบคนขี้เกียจ (ตื่นสายกว่าปกติโดยฝันกลางวันแต่เช้าตรู่)  มีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์บ้าง  ปล่อยให้สมองได้พักผ่อน   คิดอะไรอย่างเสรีไม่เกี่ยวกับงาน

           “คนขี้เกียจ” มักเก่งในการมองหาหนทางที่ง่ายในการทำงาน    แต่คนที่พยายามเป็น     คนขี้เกียจ” อย่างมีกลยุทธ์ย่อมเก่งกว่าในการหาหนทางทำงานที่ง่ายด้วยความคิดที่สดใหม่และสร้างสรรค์.