คาร์บอนเครดิต เครื่องมือการเงินเพื่อสิ่งแวดล้อม

คาร์บอนเครดิต เครื่องมือการเงินเพื่อสิ่งแวดล้อม

ในปัจจุบันหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามหลักการ

Environmental, Social, and Governance หรือ ESG เป็นอย่างมาก โดยในด้านสิ่งแวดล้อมนั้น หลายประเทศได้มีการผลักดันนโยบายหรือกฎหมายที่จะลดหรือจำกัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) สนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy) หรือแม้แต่การลดขยะขององค์กร

ในด้านการลงทุนนั้น ผู้ลงทุนก็ให้ความสำคัญการลงทุนที่เกี่ยวกับข้อง ESG เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากมูลค่าการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ ESG ทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2020 มูลค่าเงินลงทุนรวมอยู่ที่ระดับประมาณ 15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  และหนึ่งในประเด็นด้านการลงทุนที่เกี่ยวกับ ESG ที่ได้รับความสนใจอย่างมากก็คือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(climate change)  โดยผู้ลงทุนอาจเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีนโยบายด้าน ESG บริษัทที่ลงทุนใน Renewable Energy หรือลงทุนพันธบัตร Green Bond ที่ระดมทุนเพื่อใช้ลงทุนในโครงการที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือกลุ่มอื่นๆ ที่ได้รับความสนใจมากขึ้นด้วย เช่น Weather Derivatives (อนุพันธ์ที่เกี่ยวกับภูมิอากาศ) รวมถึงคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit)

การพัฒนาคาร์บอนเครดิตนั้น มีจุดเริ่มต้นจากความตื่นตัวในการสร้างสมดุลให้ชั้นบรรยากาศของโลกของนานาประเทศผ่านพิธีสารโตเกียว (Kyoto Protocol) ในปี 1997 ที่ได้กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้ว 37 ประเทศ (Annex 1) จะต้องลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกลง โดยจะมีการออกกฎหมายกำหนดระดับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละปี และเริ่มใช้มาตรการทางภาษีกับผู้ที่ปล่อยก๊าชเรือนกระจกเกินระดับที่กำหนด  ส่วนประเทศอื่นๆ ที่ร่วมลงนามรวมถึงประเทศไทยจะต้องใช้ความพยายามในการลดก๊าชเรือนกระจก โดยอาจจะมีการจัดตั้งองค์กรเฉพาะ หรือมีโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซ

ต่อมาในการประชุมที่กรุงปารีส (Paris Agreement) เมื่อปี 2015 นานาชาติได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายในการรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มก่อนยุคก่อนอุตสาหกรรมอย่างน้อย 1.5 องศาเซลเซียล นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดหลักการซื้อขายก๊าชเรือนกระจก (Emission Trading System: ETS) โดยอนุญาตให้ผู้ที่ลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกจนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเป้าหมาย สามารถขายสิทธิ์การปล่อยก๊าชเรือนกระจกที่เหลือให้แก่ผู้อื่นได้ หรือที่เรียกกันว่า คาร์บอนเครดิตซึ่งหลักการนี้ เป็นจุดกำเนิดของการประเมินมูลค่าของคาร์บอนเครดิตที่มีหน่วยเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide) จำนวน 1 ตัน เป็นตัวเงินเพื่อซื้อขายระหว่างบริษัท จนเกิดเป็นการซื้อขายคาร์บอนเครดิตทั่วโลก

การเปิดให้มีการซื้อขายหรือมีตลาดคาร์บอนเครดิตช่วยทำให้ต้นทุนในการลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกของอุตสาหกรรมลดลง เนื่องจากโรงงานแต่ละแห่งมีต้นทุนในการลดก๊าชเรือนกระจกไม่เท่ากัน แทนที่จะให้โรงงานทุกแห่งลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนที่เกิดขึ้น ก็ให้โรงงานที่มีต้นทุนต่ำทำหน้าที่ลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกในปริมาณสูง และนำคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นไปขายให้กับโรงงานที่มีต้นทุนสูง ซึ่งจะทำให้ปริมาณก๊าชเรือนกระจกในภาพรวมลดลงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ภายใต้ต้นทุนเฉลี่ยที่ต่ำลง

การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะด้วยกัน ได้แก่ การซื้อขายแบบ ที่ได้รับการรับรองโดยกฎหมาย (Mandatory Basis) ซึ่งมักจะเกิดในประเทศพัฒนาแล้วที่ลงนามในการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้พิธีสารโตเกียว (Kyoto Protocol) เช่น กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยประเทศเหล่านี้จะมีข้อบังคับทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมักจะมีการอนุญาตให้ผู้ซื้อสามารถนำคาร์บอนเครดิตที่ซื้อมาหักล้างกับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ตนปล่อยออกไป เพื่อทำให้โดยรวมแล้วระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เกินที่กฎหมายกำหนดไว้  ปัจจุบัน มีตลาดกลางหรือตลาดอนุพันธ์หลายแห่งที่เปิดซื้อขายคาร์บอนเครดิตในลักษณะนี้ เช่น ตลาดอนุพันธ์ ICE (International Continental Exchange), ตลาด Nasdaq และตลาด EEX (European Energy Exchange) สำหรับการซื้อขายอีกลักษณะหนึ่งอยู่ในรูปแบบสมัครใจ (Voluntary Basis) กล่าวคือ ไม่ได้จัดขึ้นภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย แต่เกิดขึ้นตามความสมัครใจของผู้ซื้อและผู้ขาย โดยการซื้อขายส่วนใหญ่มักจะเป็นการซื้อขายระหว่างบริษัทที่มีนโยบาย ESG ในการดำเนินธุรกิจ

สำหรับประเทศไทยนั้น ได้เล็งเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เข้าร่วมลงนามในพิธีสารโตเกียว (Kyoto Protocol) โดยได้มีการจัดตั้ง “องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)” ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมโครงการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จัดทำมาตรฐานการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต เชิญชวนให้บริษัทขนาดใหญ่ที่มีความสนใจและมีศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกเข้ามาขึ้นทะเบียน รวมทั้งส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรอง นอกจากนี้ องค์กรและบริษัทเอกชนขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิต กลุ่ม ปตท. และบางจาก ก็เล็งเห็นถึงความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและให้ความสนใจกับคาร์บอนเครดิตมากขึ้น โดยมีการนำโรงงานที่ใช้พลังงานสีเขียวไปขึ้นทะเบียนตามมาตรฐานคาร์บอนเครดิต อีกทั้งยังมีการพัฒนาระบบการขึ้นทะเบียนและระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิตของตนเอง อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทยยังเป็นการซื้อขายโดยสมัครใจ และถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น การซื้อขายจึงจำกัดอยู่ระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่ (B2B) โดยผู้ซื้อเป็นบริษัทที่ต้องการสนับสนุนแนวคิดการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมโดยสมัครใจ     

การซื้อขายคาร์บอนเครดิตมีแนวโน้มที่จะได้รับความสำคัญมากขึ้นในอนาคต หลังจากที่นาย Joe Biden ประธานธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุดได้ประกาศจุดยืนทางสิ่งแวดล้อมว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่ยุคไร้มลพิษภายในปี 2050 รวมถึงมีการสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในโครงการพลังงานสะอาด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมธุรกรรมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตทั่วโลก สำหรับประเทศไทยนั้น การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตยังต้องการการสนับสนุนด้านนโยบาย เพื่อส่งเสริมให้ผู้เกี่ยวข้องและภาคธุรกิจในวงกว้างเห็นความสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น อันจะนำไปสู่การพัฒนาตลาดกลางเพื่อซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ในอนาคต