การลงทุนในสินค้าทองคำ (Revisited)

การลงทุนในสินค้าทองคำ (Revisited)

สำหรับนักลงทุนไทย ปัจจุบันทางเลือกในการลงทุนทองคำมีมาก

เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสเขียนบทความเรื่อง “การลงทุนในสินค้าทองคำ” ณ คอลัมน์แห่งนี้ซึ่งเป็นเวลาที่ทองคำ ณ ขณะนั้นได้ปรับตัวพุ่งขึ้นทะลุแนวต้านที่ระดับ 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ แล้วก็ถูกเทขายออกมาจนราคาปรับตัวลดลงไประดับต่ำสุดในรอบที่แล้วที่ประมาณ 680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วง U.S. Financial Crisis 

แต่หลังจากนั้น ภาวะกระทิงเข้าสิงทองคำ ราคาทองคำกลับมามีทิศทางเป็นขาขึ้นตลอด2 ปีกว่า จนเดือนก.ย.2554 ราคาทองคำก็ได้ทำจุดสูงสุดของรอบไว้ที่ 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถึง 182%

กว่าเกือบ 5 ปี ที่ทองคำมีทิศทางขาลง โดยปรับตัวลดลงไปที่ระดับ 1,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว และหลังจากที่ทองคำผ่านขั้นตอนของการทำ Bottoming เมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังผลการ Vote ของ Brexit ราคาทองคำก็ทะลุ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ประจวบเหมาะกับในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งเป็น ETF อย่าง SPDR Gold Trust (GLD) ถือครองทองคำเพิ่มขึ้นจาก 642 ตัน ณ 31 ธ.ค. 2558 เป็น 981 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 53%

เป็นที่ทราบกันดีกว่าการลงทุนในทองคำไม่ได้จำกัดอยู่เพียงซื้อ GLD แต่ก็ดูเหมือนว่าการซื้อ GLD โดยตรงน่าจะเป็นการลงทุนในทองคำที่สะดวกสบาย ที่มีเหตุผลทั้งในด้านสภาพคล่องสูงและค่าธรรมเนียมที่ต่ำ (0.4% ของ NAV) ซึ่งนักลงทุนในสหรัฐก็สามารถเลือกทั้งทางตรงและทางอ้อมได้หลายทางเลือกมานานมากแล้ว อาทิ

1) ซื้อทองคำจริง ๆ หรือ Physical Gold

2) การลงทุนในบริษัทเหมืองแร่ทองคำ เช่น Barrick Gold / Newmont /Goldcorpหรือ Randgold Resources

3) ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เป็น Derivatives

4) ลงทุนใน Exchange Traded Fund (ETF) ที่เกี่ยวกับทองคำ แบ่งได้เป็น

          · ETF ที่ถือครองทองคำจริง ๆ เช่น GLD หรือ SPDR Gold Shares หรือ ETF ของ London Gold Bullion Securities

          · ETF ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็น Port ของบริษัทเหมืองแร่ทองคำเช่น GDX หรือ GDXJ

          · ETF ที่มีสินค้าอ้างอิงเป็น Derivatives ทำให้มีทั้ง ETF แบบขาซื้อ (Long ETF) และ ETF แบบขาขาย (Short ETF)

5) ลงทุนในกองทุนรวม หรือ Mutual Fund ซึ่งอาจจะมีสินทรัพย์ใน Fund เป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกันจาก ที่กล่าวมาข้างต้น  แต่สำหรับนักลงทุนชาวไทย ดูเหมือนว่าปัจจุบันทางเลือกในการลงทุนเกี่ยวกับทองคำจะมีมาก อาทิ

       1) ซื้อทองคำจริง ๆ โดยในปัจจุบัน สามารถเลือกซื้อทองคำแท่ง (Gold Bar) 99.5% ตามมาตรฐานสากล หรือซื้อทองแท่งแบบไทย มาตรฐานเยาวราช ความบริสุทธิ์ 96.5% (โดยส่วนตัวคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลงทุนในทองคำ)

       2) ซื้อ ETF ทองคำ มีทั้งที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นทองคำ และ สินทรัพย์อ้างอิงเป็น ETF ของต่างประเทศ ซึ่งก็ต้องระวังเพราะบางกองไม่ค่อยมีสภาพคล่อง อาจไม่สามารถออกจากตลาดได้

       3) ซื้อ Gold Futures (ยังไม่มี Options on Gold Futures เหมือนในต่างประเทศ) ก็ต้องระวังในเรื่องของกลไกการวางเงินประกัน หรือ Margin สำหรับการซื้อขาย Futures ที่มีอัตราทด (Leverage) ซึ่งเปรียบเสมือนดาบสองคม

       4) ซื้อกองทุนรวมที่เกี่ยวข้องกับทองคำปัจจุบันมีกองทุนประเภทนี้ค่อนข้างมากที่ไปซื้อ GLD ในต่างประเทศอีกที ทำให้นักลงทุนไทยต้องเสียค่าธรรมเนียม 2 ต่อ และมีกองที่ไปลง ETF ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็น Port ของบริษัทเหมืองแร่ทองคำ ซึ่งนักลงทุนต้องดูให้ดี เนื่องจากกองพวกนี้มีการเก็บค่าธรรมเนียมทั้งขาซื้อและขาขาย และมีค่าบริหารอีกต่างหาก
แต่ดูเหมือนว่า นอกจากทางเลือกที่ 1) และที่ 3) นักลงทุนรายย่อยในประเทศไทยจะมีต้นทุนที่สูงกว่านักลงทุนรายใหญ่ ที่สามารถเข้าถึงและลงทุนในตลาดการเงินที่พัฒนาแล้วในต่างประเทศได้   ฉะนั้น การศึกษาเงื่อนไขต่าง ๆ ที่แฝงมาด้วยกับเครื่องมือนั้น ๆ ให้ดีจึงมีความจำเป็นมากก่อนการลงทุนในทองคำ