เพราะคิดไปได้ไม่ไกล จึงมักง่าย (จบ)

เพราะคิดไปได้ไม่ไกล จึงมักง่าย (จบ)

หากนิยาม “ความมักง่าย” ให้สัมพันธ์กับสังคม เพื่อจะหลีกเลี่ยงการอธิบายทุกอย่างด้วยคุณลักษณะประจำชาติ

เช่น ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ ความหมายของคำว่า “มักง่าย” จึงหมายถึงการตัดสินใจหรือการกระทำที่ไม่ได้ใคร่ครวญว่าควรทำหรือไม่ กระทำไปแล้วจะส่งผลอย่างไร โดยจะเป็นการตัดสินใจทำหรือไม่ทำบนฐานคิดที่หากมีปัญหาอะไรก็ค่อยรอแก้ไขเอาดาบหน้า ซึ่งผมคิดว่าการขยายตัวของ “ความมักง่าย” เกิดขึ้นจากกระบวนการการเรียนรู้ทุกมิติในสังคมไทย

สังคมไทยทอดทิ้งการเรียนรู้ (Learning) และลดทอนให้เหลือเพียงแค่ การศึกษาในระบบโรงเรียน" (Schooling) จึงทำให้การศึกษาในระบบนั้นไม่เชื่อมต่อกับอะไรทุกอย่างในสังคม บุคลากรในระบบการศึกษาทุกระดับ ไม่ว่าจะครูที่สอนให้คนออกไปเป็นครู หรือครูที่สอนเด็ก ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถจะเชื่อมต่อความหมายของการศึกษาเข้ากับชีวิตทางสังคมได้เลย ตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน จากงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ทางการศึกษายังคงเน้นที่การทำวิจัยเชิงปริมาณห้าบทอยู่ตลอดมา

เพราะเรามองไม่เห็นสายสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เราจึงสร้างการศึกษาที่ไม่มีความรู้ใดให้เรียนรู้ การค้นคว้าทางฟิสิกส์ย่อมสัมพันธ์อยู่กับความปรารถนาที่จะตอบปัญหาให้แก่สังคมในยุคหนึ่งๆ หากปราศจากความเข้าใจความปรารถนาของสังคมก็ย่อมไม่มีทางเข้าใจผลการค้นคว้าทางฟิสิกส์หนึ่งๆ ได้เลย

หากเราสามารถสร้างการมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ ที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์หนึ่งๆ ก็ย่อมที่จะทำให้เราสามารถตัดสินใจเลือกทำอะไรหรือไม่เลือกทำอะไรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการตัดสินใจอย่างมักง่าย และจะสามารถทำให้เราเชื่อมต่อสิ่งที่เราอยากจะรู้หรือสามารถเชื่อมต่อกับ “ข้อมูล” ใหม่ที่เข้ามาสู่สมองเราได้อย่างมีความหมาย

ฐานที่สำคัญของการสร้างศักยภาพการมองเห็นเช่นนี้ ได้แก่ การสร้าง “วิธีคิดทางประวัติศาสตร์ น่าเสียดายที่วิชาประวัติศาสตร์ที่สอนกันในโรงเรียนทั้งหมดและในมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งกลับไม่ได้เป็นวิชา “ประวัติศาสตร์” แต่อย่างใด เพราะเป็นเพียงการ “เล่าเรื่อง” ในอดีตที่ไม่ได้เอื้อให้เกิดอะไรขึ้นมา

 “วิธีคิดทางประวัติศาสตร์ ไม่ได้จำกัดอยู่ในวิชาประวัติศาสตร์อย่างที่เข้าใจกันในสังคมไทย หากแต่เป็นพื้นฐานการคิดที่จะทำให้เราเข้าใจทุก สาระที่เรียนรู้ว่ามีที่มาที่ไปในเงื่อนไขอะไร

หากเราสามารถทำให้การคิดอย่างเป็นประวัติศาสตร์ฝังอยู่ในอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด เราก็จะผลักดันตัวเองให้เริ่มต้นตั้งคำถามเพื่ออธิบายให้เข้าใจถึงส่วนที่สัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะในระดับสังคมหรือระดับชีวิตประจำวัน เพราะคำถามพื้นฐานของการคิด ได้แก่ ทำไมเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาได้ และเกิดขึ้นในเงื่อนไขอะไร

การตอบคำถามว่าทำไมเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นมาได้ จะบีบบังคับให้เราต้องคิดถึง “เหตุการณ์” อื่นว่ามีความเชื่อมต่อกันหรือไม่ ขณะเดียวกันก็ผลักดันให้มองกลับไปก่อนหน้านั้นว่า อะไรเกิดขึ้นก่อน และเกิดความเปลี่ยนแปลงที่เป็นสาระสำคัญปรากฏขึ้น การบังคับให้เราต้องคิดไปในทำนองนี้จะทำให้เราเริ่มมองเห็นความเปลี่ยนแปลง ความต่อเนื่อง ความผสมผสานที่ผ่านมาในแต่ละช่วงของเวลา หรือแต่ละส่วนของเหตุการณ์ที่เรากำลังต้องอธิบาย

การตอบคำถามว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในเงื่อนไขอะไร จะบีบบังคับให้เราต้องแสวงหา/มองหาปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่น่าจะมีส่วนกำหนดหรือสัมพันธ์กับการเกิดเหตุการณ์นั้นๆ การบังคับตนเองให้มองเห็น บริบทที่ซับซ้อนมากขึ้นก็จะทำให้สามารถสร้างจินตนาการเชื่อมต่อ ข้อมูลปลีกให้เกิดความหมายใหม่ในการอธิบายเหตุการณ์หนึ่งๆ

กระบวนการคิดทางประวัติศาสตร์เช่นนี้จะเอื้ออำนวยให้เกิดการสร้าง “ความรู้” ขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนชุดการเชื่อมต่อข้อมูลปลีกๆ แบบเก่าที่ไม่น่าจะเพียงพอต่อการตอบปัญหาในแต่ละช่วงเวลา เพราะปัญหาที่ดูเผินเผินอาจจะคล้ายคลึงกันจนตอบได้เป็นสูตรสำเร็จ เช่น เด็กแว้นเกิดขึ้นเพราะพ่อแม่ไม่สั่งสอน แต่หากบังคับให้ลองมองด้วยวิธีคิดประวัติศาสตร์ เราก็อาจจะแยกให้เห็นถึงเด็กแว้นสองยุคที่แตกต่างกัน ทั้งภูมิหลังและบริบทของแว้นเอง ซึ่งก็ตอบหรืออธิบายเด็กแนวได้ซับซ้อนมากขึ้น

การคิดทางประวัติศาสตร์จะผลักดันให้เราต้องมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่เกิดขึ้นก่อนและหลังปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ที่เราจะศึกษา ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจทั้งหมดของพลวัตในเรื่องนั้นๆ ได้ดีมากขึ้น การค้นพบหลักการของความไม่แน่นอน (Uncertainty Principle) ของไฮเซนเบอร์ก (Heisenberg) ซึ่งเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความปรารถนาที่จะเข้าใจปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่ซับซ้อนจนทฤษฎีแบบเดิมตอบไม่ได้ และผลกระทบต่อมาก็คือการคิดบนหลักการความไม่แน่นอนนี้ ก็ส่งเปิดหน้าต่างให้แก่การคิดที่แตกต่างไปได้อย่างกว้างขวาง      การตัดสินใจในชีวิตประจำวันของผู้คนก็เช่นเดียวกัน หากสามารถผลักดันให้ผู้คนคิดและไตร่ตรองอย่างเป็นประวัติศาสตร์มากขึ้น ก็จะทำให้ผู้คนสามารถที่จะเข้าใจสถานการณ์ที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่อย่างมีวิจารณญาณมากขึ้น อยากให้ผู้อ่านไปค้นหนังสือตอบปัญหาชีวิตเรื่อง แล้วเราก็ปรึกษากันเขียนตอบโดย รังรอง” (พิมพ์ในนิตยสารแพรวเมื่อยี่สิบปีก่อน) ก็จะเห็นชัดขึ้นว่าหากคิดให้เป็นประวัติศาสตร์แล้วจะมองเห็น ชีวิตได้ชัดเจนมากขึ้น

ทุกอย่างเป็นประวัติศาสตร์ ทุกอย่างล้วนคลี่คลายมาจนถึงปัจจุบัน เราไม่สามารถหยุด “เวลา” หรือ ”ปัญหา” หนึ่งใดไว้เพียงแค่ในปัจจุบัน การไม่ว่าอารมณ์ความรู้สึก ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ความเป็นไทย การคิดไตร่ตรองอย่างเป็นประวัติศาสตร์จะเอื้อให้แก่การทำความเข้าใจสรรพสิ่งรอบตัวเราได้ชัดขึ้น และเชื่อได้ว่าการตัดสินใจของคนในสังคมก็จะมีคุณภาพมากขึ้นตามไปด้วย

การคิดแบบเป็นประวัติศาสตร์ด้วยการทำความเข้าใจในเงื่อนไขและความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมา จะก่อให้เกิดความรู้สึกที่จะผูกพันคนๆ หนึ่งไว้กับสังคมหรือชุมชน เพราะเราจะตระหนักเสมอว่าเราล้วนอยู่ภายใต้เงื่อนไขทางสังคมเดียวกัน กระบวนการคิดเช่นนี้จะชักนำให้ผู้คนมีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นมากขึ้น (Compassion) ซึ่งก็จะมีผลต่อการตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไรที่ไม่ได้ขึ้นอยู่เฉพาะความรู้สึกที่แว่บขึ้นมาของปัจเจกชนคนเดียวเท่านั้น

การคิดแบบเป็นประวัติศาสตร์คือการคิดไปให้ไกลทั้งการมองเข้าไปในอดีตและจินตนาการถึงภาพความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การคิดเช่นนี้จะลดทอนความมักง่ายของผู้คนในสังคมไทยลงไปได้อย่างแน่นอน

สังคมไทยเผชิญปัญหา “ความมักง่าย” มาเนิ่นนาน ถึงเวลาที่เราต้องช่วยกันคิดและทำในทุกระดับและทุกระบบ ทางวิชาการก็ต้องหยุด”มักง่าย” เอาทฤษฎีเก่าๆ มาอธิบายเสียที เช่น เอาแนวคิดของนักจิตวิทยา (เน้นปัจเจกชนเพื่อรับใช้ระบบทุนนิยม ซิกมันด์ ฟรอยด์) มาอธิบายอย่างมักง่าย หรือเอากรอบคิดเก่าๆ ของความเป็นไทย (ที่ตนเองก็อธิบายไม่ได้) มาอธิบายสังคมปัจจุบัน

เราทุกคนรักสังคมไทยและปรารถนาให้สังคมเราน่าอยู่ เราจึงต้องเรียกร้องตัวเราให้มากขึ้นครับ