มหาวิทยาลัยคุ้มหรือไม่

มหาวิทยาลัยคุ้มหรือไม่

เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศว่า จะมีการจัดลำดับมหาวิทยาลัยทุกแห่งในสหรัฐ

เพื่อให้คนอยากเรียนมหาวิทยาลัยใช้ตัดสินใจว่า ควรจะไปเรียนที่ใด พอประกาศไปเช่นนั้น ก็มีเสียงคัดค้านแทบจะในทันทีจากอธิการบดีของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ที่กังวลกับการจัดลำดับโดยหน่วยงานของรัฐ ซึ่งในสหรัฐนั้นการจัดอันดับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ จัดโดยสื่อมวลชนบ้าง จัดโดยองค์กรเอกชนบ้าง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รัฐจะลงมือจัดอันดับเอง เสียงคัดค้านที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ประธานาธิบดีเปลี่ยนใจยกเลิกการจัดอันดับ แต่ทำให้เปลี่ยนไปเป็นการเผยแพร่ข้อมูล ความคุ้มค่าในการศึกษาในมหาวิทยาลัย ที่ถือกันว่าเป็นการลงทุนครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในชีวิต รวมทั้งบางคนยังต้องกู้เงินมาจ่ายค่าเล่าเรียน จึงสมควรที่จะมีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับช่วยในการตัดสินใจ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้เผยแพร่ข้อมูลผ่านเว็บภายใต้ชื่อ CollegeScorecard

คนที่สนใจจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย สามารถสืบค้นจากCollegeScorecard ได้ ว่ามีหลักสูตรที่ตนเองสนใจเปิดสอนอยู่ที่ไหนบ้าง สืบค้นได้ว่าหลักสูตรที่อยากเรียนนั้น ที่ไหนจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเท่าใด  และเปรียบเทียบหลักสูตรที่สนใจที่เปิดสอนในมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ นอกจากนั้น ยังจัดอันดับให้ดูว่ามหาวิทยาลัยใดที่ค่าเล่าเรียนมีสัดส่วนต่ำ เมื่อเทียบกับรายได้ที่จะมีหลังสำเร็จการศึกษา จ่ายน้อยแต่จบแล้วเงินเพิ่มขึ้นเยอะ ที่ไหนบ้างที่ค่าเล่าเรียนน้อยแต่มีอัตราการจบการศึกษาสูง ที่ไหนบ้างที่จบไปแล้วสิบปี มีรายได้ต่อเดือนสักเท่าใด จะได้เห็นรายได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต ข้อมูลที่เผยแพร่ออกมานี้ เชื่อกันว่าจะทำให้คนอยากเรียนตัดสินใจได้ดี เลือกที่อยากเรียน แล้วก็มีสถิติบอกว่าอัตราการสำเร็จการศึกษามีมากน้อยเพียงใด โดยวิเคราะห์มาจากข้อมูลรายได้และค่าเล่าเรียนที่สะสมไว้กว่ายี่สิบปี แต่ไม่ใช่บอกว่า จ่ายครบเรียนจบแน่นอน เหมือนที่มีการป่าวประกาศในบางประเทศ

หลายคนออกมาโต้แย้งว่า จะบอกว่าที่ไหนดีกว่าที่ไหน โดยดูแค่ความคุ้มค่าของเงินทอง ที่จ่ายไปเป็นค่าเล่าเรียนนั้นคงไม่พอ ต้องดูอีกสารพัดอย่าง จึงจะบอกได้ว่าใครดีกว่าใครได้ แต่คนที่สนับสนุน CollegeScorecard ก็โต้กลับว่า เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างก็จริง แต่รายได้หรือมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นจากการเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น สามารถบอกในเบื้องต้นได้ว่า การลงทุนเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น คุ้มค่าหรือไม่ ส่วนใครอยากเปรียบเทียบประเด็นใดเพิ่มเติม ก็สามารถทำได้โดยดึงข้อมูลอื่นๆ จาก CollegeScorecard มาวิเคราะห์เพิ่มเติมในประเด็นที่อยากเปรียบเทียบได้

แม้ว่าบ้านเราในวันนี้หรือวันหน้า ยังไม่มีข้อมูลแบบนี้ประกาศให้ทราบ ข้อมูลอุดมศึกษาในบ้านเรายังคลุมเครือ และหายากกว่าที่ปุถุชนคนธรรมดาจะพบเจอได้ง่ายๆ เราอาจใช้หลักการนี้ในการเลือกมหาวิทยาลัยให้ลูกหลานเล่าเรียนได้ เริ่มด้วยการหาข้อมูลว่า กว่าจะเรียนจบต้องใช้เงินทองสักแค่ไหน ซึ่งไม่น่าจะหายากเพราะจะไปสมัครเรียนที่ไหน เขาก็บอกค่าเล่าเรียนให้เรารับรู้รับทราบอยู่แล้ว แต่ต้องดูให้ละเอียดว่า ยังมีเงินเล็กเงินน้อยอะไรบ้างหรือไม่ ที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมจากส่วนที่เป็นค่าเล่าเรียนโดยตรง ได้ตัวเลขนี้มาก็จะทราบต้นทุนในการได้ปริญญา

ขั้นต่อไปคือต้องถามมหาวิทยาลัยว่า คนที่เรียนจบแล้วไปทำมาหากินจะมีรายได้มากน้อยแค่ไหน หรือเราจะประมาณตัวเราเองเลยก็ได้ว่า ถ้าเรียนจบแล้วน่าจะทำงานได้เงินสักเท่าใด ลองประมาณดูว่าอีกสิบปีข้างหน้าถ้าเราเรียนจบ เราน่าจะได้เงินทองสักเท่าใด แล้วลองเปรียบเทียบดูว่าอะไรมากกว่ากัน ถ้ารายได้หลังจากจบแล้วเพิ่มขึ้นทั้งในปัจจุบัน และอีกสิบปีข้างหน้า ก็สมัครเข้าเรียนได้เลย แต่ถ้าเสียเงินเสียเวลาไปแล้วสามปีสี่ปี จบแล้วเงินเดือนค่าจ้างก็เท่าเดิม แปลว่ามูลค่าเพิ่มจากการศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้น เป็นตัวเลขติดลบ คือเงินที่ได้ลดลงกว่าเดิม ถ้าเป็นเช่นนี้เสนอว่าเอาเงินไปลงทุนทำมาหากินเลยดีกว่า เอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่า

ซึ่งน่าแปลกที่ใครๆ ก็พอจะเปรียบเทียบความคุ้มค่าในการเสียเงินเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยนี้ได้ แต่เปรียบเทียบแล้วรู้ว่าติดลบเงินทองแน่ๆ ก็ยังไปกู้เงินทองมาเล่าเรียนกันอีก บางท่านอาจเคยทราบข่าวครอบครัวที่ไม่มีเงินทอง และมีลูกหลายคน ข่าวบอกว่าต้องการความช่วยเหลือ เพราะลูกกำลังเรียนปริญญาอยู่ทุกคน น่าแปลกที่บอกว่าเงินทองไม่มี แต่กลับไม่ช่วยกันทำงานหาเงินทองกัน ทุกคนเอาแต่เรียนปริญญากันหมด ทั้งๆ ที่ไม่มีใครยืนยันได้ว่าจบแล้วจะมีงานให้ทำแน่ๆ

ถ้าเปรียบเทียบเงินทองแล้วยังไม่แน่ใจว่าจะคุ้มหรือไม่คุ้ม ให้ถามตัวเองต่อไปว่า เล่าเรียนจบแล้วเราจะมีความสามารถอะไรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนบ้าง แต่ห้ามตอบว่า ฉันได้ความรู้มากขึ้น การเรียนปริญญาไม่ใช่การนั่งฟังTalk Show สี่ปีแล้วเกิดความรู้ แต่ต้องบอกได้ว่า มีความสามารถใหม่อะไรขึ้นมาบ้าง อย่าหลอกตัวเองว่ามีความรู้มากขึ้น ทั้งๆ ที่ทำอะไรได้เหมือนเดิมๆ ถามต่อไปว่า ลงทุนเรียนแล้วได้รู้จักผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในวงการที่เราเล่าเรียนหรือไม่ หรือได้เรียนกับผู้รู้ตัวจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่ได้เรียนกับคนเล่าหนังสือ เหมือนฟังคนเล่าข่าวเท่านั้น ลงทุนเรียนปริญญากันทั้งที ต้องเรียนกับผู้รู้ตัวจริง อย่าเสียเวลากับคนเล่าหนังสือ

ถ้าเล่าเรียนแล้ว ความสามารถใหม่ก็ไม่มี ผู้รู้ตัวจริงก็ไม่รู้จัก มูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการเล่าเรียนก็ติดลบ ท่านว่าอย่าเสียเงินเสียเวลาไปเล่าเรียนเลย ทำมาหากินกันดีกว่า