“ชาชักชาวเรือ”ไอเดียธุรกิจเปลี่ยนชีวิตทหารเรือ

“ชาชักชาวเรือ” คือแฟรนไชส์ที่เกิดจากแนวคิด 'ร้านที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อให้เจ้าของรวย แต่เพื่อให้ครอบครัวทหารเรืออยู่กันได้'
“ชาชักชาวเรือ”มีจุดเริ่มต้นมาจาก นาวาโท สมพงษ์ โพธิ์ศรี ซึ่งในขณะนั้นทำงานอยู่ที่กิจการปลดหนี้สินกองทัพเรือ ต้องเดินทางไปบรรยายเพื่อช่วยให้ทหารเรือมีรายได้เสริม หลังเดินทางไปบรรยายในหลายที่ จึงเกิดความสนใจในรสชาติของชาชักจากภาคใต้ เลยมีความคิดว่า น่าจะมาทำเป็นกิจการสร้างรายได้ให้กับทหารเรือได้ เพื่อช่วยเหลือเพื่อนข้าราชการ ทหารเรือที่เกษียณแล้ว ภรรยาและบุตรของทหารเรือ ให้มีอาชีพเสริม
นั่นคือที่มาของธุรกิจ ชาชักชาวเรือ ซึ่งเปิดสาขาแรกที่ ท่าเรือวังหลัง เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน เมื่อพบว่า มีการเติบโตที่ดี จึงเริ่มสร้างระบบแฟรนไชส์ โดยเริ่มต้นขายแฟรนไชส์ไปที่กลุ่มทหารเรือ ด้วยแนวคิดว่า
“ร้านนี้ไม่ได้สร้างมาเพื่อให้เจ้าของรวย แต่สร้างมาเพื่อให้ครอบครัวทหารเรืออยู่กันได้”
ปัจจุบัน ชาชักชาวเรือ ขยายไปแล้วกว่า 80 สาขา ทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล โดยการขยายสาขานั้น จะเปิดตามห้างสรรพสินค้า และจุดท่องเที่ยวที่สำคัญๆ สำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย มุ่งไปที่กลุ่มนักเรียน และคนทำงานช่วงอายุ 15-34 ปี เนื่องจากมองว่า กลุ่มคนที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปนั้น เริ่มลดการบริโภคคาเฟอีนลง ซึ่งส่งผลให้การบริโภคชาลดลงตามไปด้วย จึงไม่ได้เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของพวกเขา
สำหรับการสร้างจุดเด่นให้กับชาชักชาวเรือ มีตั้งแต่เน้นภาพลักษณ์ของร้านที่สะอาดตา เลือกทำเลร้านใน Modern trade เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐาน ความสะอาดถูกหลักอนามัย
นอกจากนั้นยังมีเมนูเครื่องดื่มอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามาดึงดูดใจลูกค้า เช่น โกโก้ชัก กาแฟชัก และชามะนาว เป็นต้น
เวลาเดียวกับการพัฒนาเครื่องดื่มรสชาติอร่อย เขาเริ่มเกิดความคิดว่า น่าจะมีเมนูขนมไว้รับประทานคู่กับชาชักด้วย เลยเป็นที่มาของเมนูโรตีที่เพิ่มเติมเข้ามาในร้าน โดยมีการคิดค้นเตาไฟฟ้าที่ใช้ในห้างฯ ได้โดยไม่เป็นอันตราย และเพื่อให้โรตีกรอบอร่อย จึงได้พัฒนาสูตรแป้งและการทอดให้เลือกอย่างหลากหลาย เช่น โรตีกรอบนอกนุ่มใน โรตีหอมนุ่ม โรตีกล้วยไข่ เป็นต้น
สิ่งที่ชาชักชาวเรือให้ความสำคัญคือ “คุณภาพของวัตถุดิบ” โดยผงชา โกโก้ และกาแฟ ต้องสั่งมาจากภาคใต้เท่านั้น ส่วนชามะนาว ต้องเป็นมะนาวแท้คั้นสดและใส่ในปริมาณที่มีการกำหนดไว้แล้ว โดยพวกเขาจะเน้นย้ำกับผู้ซื้อแฟรนไชส์ว่า ให้รักษามาตรฐานนี้ไว้ แม้จะเป็นช่วงที่มะนาวมีราคาสูงขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์เอาไว้
จากการสังเกตตลาดพบว่า คนไทยไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มรวดเดียวหมด หลายคน ซื้อไปตั้งทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน แล้วค่อยๆ ดื่ม นาวาโท สมพงษ์ จึงเลือกใช้แก้วที่ทำจากกระดาษเกรดเอ ซึ่งเป็นแก้วคุณภาพดี ทำให้ชาไม่เสียรสชาติ ไม่เปื่อยยุ่ยง่าย แม้ทิ้งไว้นาน เหมาะกับพฤติกรรมการดื่มของลูกค้า
สำหรับการตั้งราคาขาย มีแนวคิดว่า “ลูกค้าซื้อได้ แฟรนไชส์ก็อยู่ได้” จึงตั้งราคาขายพอๆ กับเครื่องดื่มทั่วไปในตลาด คือ ขนาด 16 ออนซ์ แก้วละ 30 บาท และแก้วใหญ่ 22 ออนซ์ 40 บาท ส่วนโรตี เริ่มที่ กล่องละ 20 บาท ใส่ไข่ หรือกล้วยเพิ่มอีก 10 บาท
แม้จะมีสาขากว่า 80 สาขา แต่พวกเขายังไม่ได้มีการทำการสื่อสารการตลาดแต่อย่างใด ผู้ก่อตั้งบอกว่า การสร้างรสชาติเฉพาะตัวและการรักษาคุณภาพที่ดีจะทำให้ลูกค้าบอกต่อปากต่อปากเอง โดยตั้งเป้าว่าอยากขยายสาขาให้ครบ 200 สาขา ภายในเวลาอีก 5 ปี
กรณีศึกษาของชาชักชาวเรือ สะท้อนรูปแบบการเติบโตของธุรกิจ ที่เริ่มจากการสร้าง Partner ทางธุรกิจซึ่งมี DNA เดียวกัน นั่นคือ เป็นทหารเรือเหมือนกัน พูดจาภาษาเดียวกัน นั่นทำให้ DNA ของแบรนด์แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่การที่ธุรกิจจะเติบโตต่อไปได้ หัวใจสำคัญคือ การพัฒนาไม่หยุดนิ่ง
เช่นเดียวกับชาชักชาวเรือ ที่เลือกสร้างนวัตกรรมของเตาไฟฟ้าสำหรับทอดโรตีให้ได้คุณภาพ หรืออย่าง การสร้างเมนูโรตี เมนูใหม่ๆ ก็เพื่อเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
(เครดิต : กรณีศึกษาโดย ชโนดม เตชะศิริเชษฐ์, เดชชาติ บุญประกอบ, ธนวรรณ ณิชมณธนาทรัพย์, บัณฑิต สุทธิศักดิ์มงคล, อรณิชา จงเจริญ, รังสิยา พรรคกลิ่น, กนกวรรณ วงศ์กระพันธุ์ และ คณุตม์ บุญอยู่คุ้ม นักศึกษาปริญญาโท สาขาภาวะผู้ประกอบการและนวัตกรรม วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล)







