ทำไมผู้นำจีนจึงเขิน ตำแหน่ง "มหาอำนาจ"

ทำไมผู้นำจีนจึงเขิน ตำแหน่ง "มหาอำนาจ"

ประเทศจีนจะแซงหน้าสหรัฐ จนกลายเป็นเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของโลกจริงหรือไม่?

หนึ่งในบทวิเคราะห์เขียนเป็นกราฟแสดงให้เห็นว่า ภายในปี 2025 หรืออีกเพียง 10 ปีข้างหน้า ผลผลิตมวลรวมหรือ GDP ของจีนก็จะสูงกว่าสหรัฐแล้ว

คนที่ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสองประเทศยักษ์บอกว่า หากวัดด้วยการเปรียบเทียบอำนาจซื้อของประชาชนที่เรียกว่า purchasing power parity-adjusted measures จีนก็ชนะอเมริกาแล้วด้วยซ้ำไป

แต่เพราะประเทศจีนมีประชากร 1.3 พันล้านคน ขณะที่สหรัฐมีเพียง 318 ล้านคน ตัวเลขจีดีพีต่อหัวของจีนอยู่ที่ 6,500 เหรียญ ขณะที่ของอเมริกาอยู่ที่ 45,000 เหรียญ

หากวัดวิธีนี้จีนเล็กกว่าสหรัฐ 7 เท่า

แต่หากใช้วิธีวัดตามอำนาจซื้อ สัดส่วนของจีดีพีต่อหัวประชากรของสหรัฐก็จะสูงกว่าจีนเพียง 4 เท่า

และจุดนี้แหละที่นักวิเคราะห์บางคนเอาสัดส่วนประชากรจีนกับสหรัฐมาคำนวณ (4.2 เท่า) ก็จะทำให้เศรษฐกิจจีนดูเหมือนจะใหญ่กว่าของสหรัฐไปแล้วด้วยซ้ำ

แต่เอาเข้าจริงๆ ผู้นำจีนก็ยังพยายามจะบอกว่าจีนยังไม่ถึงขั้นท้าสหรัฐในเรื่องขนาดของเศรษฐกิจ

และยอมรับว่าอำนาจซื้อทางเศรษฐกิจของประชาชนอเมริกันโดยเฉลี่ยมากกว่าคนจีนอยู่ 4 เท่า

นั่นดูเหมือนจะเป็นภาพของช่องว่างระหว่างสองยักษ์ใหญ่ของโลกที่ยังมีอยู่วันนี้

ผู้นำจีนยังยืนยันว่าเป้าหมายหลักประการหนึ่ง ของการพัฒนาเศรษฐกิจก็คือการทำให้จีนเป็นประเทศ "ร่ำรวยปานกลาง" ที่เรียกว่า "เสี่ยวคัง"

จีนไม่ต้องการจะวาดภาพสวยหรูเกินเหตุว่าวันนี้จีนรวยที่สุดในโลก หรือมีเศรษฐกิจอันดับหนึ่ง เพราะช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในจีนยังมีอยู่มาก และหากไม่ระวัง รัฐบาลกลางที่ปักกิ่งอาจจะเผชิญกับปัญหาสังคมและการเมืองหนักหน่วงขึ้นมาก หากชาวบ้านในต่างจังหวัดส่วนใหญ่ลุกฮือขึ้นต่อต้านการที่หลายๆ เมืองใหญ่ร่ำรวยกว่าหลายเท่า

นี่คือจุดอ่อนสำคัญที่ผู้นำจีนตระหนัก จึงไม่ต้องการตอกย้ำเรื่องความรวยทั้งชาติ เพราะหากปากท้องของชาวไร่ชาวนาในมณฑลห่างไกลยังแย่ การคุยโม้โอ้อวดเรื่องความเป็นประเทศรวยมากๆ ก็จะมีผลกลับมาหลอกหลอนผู้นำเอง

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้จีนได้กลายเป็น "มหาอำนาจ" แล้ว เหตุเพราะประชากรมหาศาล ตัวเลขทุกตัวคูณด้วย 1.3 พันล้าน

ตัวเลขหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงผลด้านบวกของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมา 35 ปี คือ สำรองเงินตราระหว่างประเทศที่วันนี้มีถึง $3.88 ล้านล้าน (ณ เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา)

ยังจำได้ว่าตอนที่ เติ้ง เสี่ยวผิง ไปเยือนสหรัฐเมื่อปี 1979 ข่าวบางกระแสบอกว่ารัฐบาลจีนมีสำรองเงินตราต่างประเทศ เพียงพอสำหรับแค่ซื้อตั๋วเครื่องบินให้คณะผู้นำไปถึงอเมริกาและกลับบ้านเท่านั้น

เรื่องนี้มีความจริงแค่ไหน อย่างไรยืนยันไม่ได้ แต่เป็นตำนานเล่าขานที่ตอกย้ำถึงความสำเร็จของการสร้างเศรษฐกิจจีนตั้งแต่เติ้งประกาศเปิดประเทศและใช้นโยบาย "ระบอบคอมมิวนิสต์แบบการตลาด" ซึ่งก็แปลได้ว่าเป็นการก้าวเข้าสู่ระบอบทุนนิยมโดยไม่ประกาศเป็นทางการเมืองเท่านั้น

ผู้นำจีนพยายามไม่ย้ำเรื่องเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เพราะยังต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมจีนที่ยังมีอยู่อย่างกว้างขวาง อีกทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อมก็หนักหน่วง ปัญหาคอร์รัปชันเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ยังแก้กันไม่ตก

อีกทั้งหากยอมรับบทบาท "มหาอำนาจ" จีนก็จะต้องรับภาระหนักขึ้น ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อประชาคมโลกมากขึ้น และความคาดหวังของคนทั้งโลกต่อจีนก็จะสูงขึ้นเช่นกัน

ณ วันนี้ผู้นำจีนจึงยังเขินอายที่จะเรียกตัวเองว่าเป็น "มหาอำนาจ" แม้จะมีคนพยายามยัดเยียดตำแหน่งนี้ให้ก็ตาม