Nobel Prize, Leontief Prize และประสิทธิภาพของกลไกตลาด

เราได้ทราบกันตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ว่ารางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2557 ได้มอบให้แก่ Jean Tirole
แห่ง Toulouse School of Economics ซึ่งผลงานเด่นของเขาคือการวิเคราะห์เรื่องอำนาจตลาดของบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดผูกขาดและตลาดผู้ขายน้อยราย อันนำไปสู่ข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลในการออกกฎหมายควบคุมการผูกขาด Tore Ellingsen ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปีนี้ให้สัมภาษณ์ว่าผลงานของ Tirole มีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างมาก เนื่องจากในปัจจุบัน พฤติกรรมแสวงหาผลประโยชน์ของบริษัทขนาดใหญ่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ และผลงานของ Tirole ก็เสนอแนะว่ารัฐบาลควรจะกำหนดวิธีการเล่นเกมของบริษัทขนาดยักษ์เหล่านี้อย่างไรเพื่อให้มนุษย์ได้ประโยชน์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในตลาดผูกขาดหรือตลาดผู้ขายน้อยรายมากที่สุด
รางวัลโนเบลนั้นเป็นที่รู้จักกันในวงการเศรษฐศาสตร์ว่าสนับสนุนแนวคิดเรื่องประสิทธิภาพของตลาดอันเป็นความเชื่อสำคัญของวิชาเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก การให้รางวัลแก่ Tirole ผู้สนับสนุนการควบคุมตลาดจึงออกจะขัดกับความเชื่อหลักของรางวัลโนเบล ดังนั้น คำถามหนึ่งที่ผู้สัมภาษณ์ถาม Ellingsen คือ การมอบรางวัลในปีนี้เกี่ยวพันกับประเด็นทางการเมืองหรือไม่ ซึ่ง Ellingsen ก็ตอบว่าไม่เกี่ยว และเขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์สำนักสังคมนิยมหรืออนุรักษนิยมต่างสามารถใช้ทฤษฎีของ Tirole ให้เป็นประโยชน์ได้ทั้งสิ้น ผู้เขียนคิดว่านี่คือการเคลื่อนไหวที่สำคัญไม่ใช่แค่สำหรับตัวรางวัลโนเบลเอง แต่หมายถึงการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกที่ได้พบเห็นแล้วว่าความเชื่อในประสิทธิภาพของตลาดในปัจจุบันมีช่องโหว่ และการตั้งกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมตลาดเป็นเรื่องจำเป็น
อย่างไรก็ตาม ขณะที่รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ได้เป็นที่รู้จักกันดีแล้วทั้งในและนอกแวดวงวิชาการ ผู้เขียนก็อยากจะแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักกับรางวัลระดับโลกทางเศรษฐศาสตร์อีกรางวัลหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าผู้ที่รับรางวัลนี้ได้ให้องค์ความรู้ใหม่ๆ ที่สำคัญกับแวดวงเศรษฐศาสตร์ไปไม่น้อยไปกว่าผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล อีกทั้งหลายคนยังมีคุณูปการอย่างมากในแง่ของการเสนอนโยบายทางเลือกใหม่ๆ ที่ต่างจากนักเศรษฐศาสตร์คนอื่น รางวัลนี้มีชื่อว่ารางวัลลีออนทีเอฟ (Leontief Prize) ซึ่งก่อตั้งโดยศูนย์ Global Development and Environment Institute แห่งมหาวิทยาลัย Tuft University โดยชื่อรางวัลนี้ถูกตั้งตามชื่อของนักเศรษฐศาสตร์ผู้เคยได้รับรางวัลโนเบลชื่อดัง Wassily Leontief โดยผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขาก็คือการวิเคราะห์ input-output matrix ซึ่งในปัจจุบันหลายประเทศได้พัฒนาและคำนวณ input-output matrix ของตนเอง (ประเทศไทยก็มีครับ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นผู้จัดทำ)
สิ่งที่น่าสนใจคือ Leontief เรียนปริญญาเอกที่ University of Berlin เขียนวิทยานิพนธ์ภายใต้การดูแลของ Ladislaus Bortkiewicz และ Werner Sombart ผู้ซึ่งนักเป็นเศรษฐศาสตร์สายมาร์กซิสต์ชื่อดัง เป็นที่รู้กันดีว่ามาร์กซิสมีแนวคิดเรื่องการวิจารณ์ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ดังนั้นการเอาชื่อของ Leontief ซึ่งเป็นชาวรัสเซียในยุคปฏิวัติคอมมิวนิสต์และมีประวัติการศึกษากับมาร์กซิสต์คนดังมาตั้งเป็นชื่อรางวัลจะต้องมีความหมายอะไรบางอย่าง
รางวัลลีออนทีเอฟมีหลักการว่าเน้นการให้รางวัลกับนักเศรษฐศาสตร์ที่สร้างทฤษฎีใหม่ๆ ที่ “สอดคล้องกับความเป็นจริง” และ “ส่งเสริมความเท่าเทียมในสังคม” (Outstanding contributions to economic theory that address contemporary realities and support just and sustainable societies) จริงๆ แล้วรางวัลนี้นับว่ายังใหม่เพราะเริ่มให้ครั้งแรกในปี 2543 หากเราพิจารณาผู้ที่ได้รับรางวัล เราจะพบว่าทุกคนล้วนมีผลงานที่มีลักษณะ “วิจารณ์” แนวคิดเรื่องตลาดเสรี ยกตัวอย่างเช่น
- John Kenneth Galbraith ซึ่งเคยเป็นเอกอัครราชทูตแห่งสหรัฐอเมริกาประจำประเทศอินเดีย และมีชื่อเสียงในฐานะนักเศรษฐศาสตร์สถาบันซึ่งพิจารณาบทบาทของ กฎ กติกา และสิ่งแวดล้อม ต่อพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของคน
- Alice Amsden นักเศรษฐศาสตร์ผู้เชื่อว่าตลาดเสรีไม่ใช่แนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ และรัฐบาลจะต้องเล่นบทรุกในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศกำลังพัฒนา หนังสือชื่อดังของเธอ The Rise of “The Rest” : Challenges to the West From Late-Industrializing Economies ที่บอกว่าประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายที่ “เคย” มีประสบการณ์การเป็น “เสือ” ทางเศรษฐกิจ ต่างอาศัยการช่วยเหลือของรัฐบาลทั้งสิ้น
- Ha-Joon Chang นักเศรษฐศาสตร์จาก Cambridge University ผู้เขียน Kicking Away the Ladder : Development Strategy in Historical Perspective ซึ่งแย้งว่าประเทศที่พัฒนาแล้วต่างพัฒนาทางเศรษฐกิจมาด้วยกลยุทธ์ที่ต่อต้านการค้าเสรี เช่น การตั้งกำแพงภาษี และปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่ในปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วเหล่านี้ร่วมมือกับองค์กรระดับโลกต่างๆ ในการสนับสนุนการค้าเสรีอันเป็นการ ‘เตะบันได’ (Kicking Away the Ladder) ที่ตนเคยใช้ปีนขึ้นมาสู่จุดที่ร่ำรวยนี้ทิ้ง พร้อมกับแนะนำประเทศกำลังพัฒนาให้ดำเนินนโยบายที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อน
รางวัลลีออนทีเอฟในปีล่าสุดมอบให้แก่ผู้ที่ศึกษาเศรษฐกิจมหภาคกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม อันเป็นปัญหาที่สำคัญมากในเวลานี้ โดยผู้ที่ได้รับรางวัล ได้แก่ Lance Taylor กับ Duncan Foley ทั้งสองคนเป็นอาจารย์อยู่ที่ The New School for Social Research ในมหานครนิวยอร์ก ทั้งสองเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ในสายแบบจำลองเศรษฐศาสตร์มหภาคทางเลือกเลยทีเดียว โดยในคำประกาศรางวัลบอกว่า Taylor ประสบความสำเร็จในการใช้แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์มหภาคในการเข้าใจปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วน Foley ก็ใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองในการตีความข้อมูลอันนำไปสู่ข้อเสนอแนะทางนโยบายที่ตอบสนองความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น เราอาจกล่าวได้ว่าทั้งสองคนนั้นพยายามที่จะเสนอมุมมองทางเลือกที่แตกต่างไปจากนักเศรษฐศาสตร์คนอื่นๆ โดยทั่วไปในการทำความเข้าใจและแก้ปัญหาโลกทุนนิยมโลกาภิวัตน์อันซับซ้อนในปัจจุบัน
มองนักเศรษฐศาสตร์ต่างชาติกันแล้วหันกลับมาดูนักเศรษฐศาสตร์ไทยกันบ้าง วันที่ 30 ตุลาคมนี้ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ จัดงานสัมมนาวิชาการประจำปีเรื่อง “Sustaining Thailand : ก้าวอย่างไรให้ประเทศไทยยั่งยืน” ณ หอประชุมสังเวียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เวลา 8.30-16.30 น. ใครสนใจไปฟังกันได้ฟรีครับ
-----
ข้อมูลนักเขียน :
ธนเดช เวชสุรักษ์นักศึกษาปริญญาเอกคณะเศรษฐศาสตร์ University of Utah
ดร.นภนต์ ภุมมาอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์







