พัฒนาการเศรษฐกิจการเมือง "ระบอบศักดินาสยาม" สู่ "ระบอบทุนนิยมแบบไทย" (3)

พัฒนาการเศรษฐกิจการเมือง "ระบอบศักดินาสยาม" สู่ "ระบอบทุนนิยมแบบไทย" (3)

เมื่อการค้าเริ่มเจริญและมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น พื้นที่เกษตรกรรมในที่ราบลุ่มภาคกลาง

และหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออกเริ่มผลิตเพื่อสนองต่อความต้องการทางการค้าและอุปสงค์ในตลาดต่างประเทศมากขึ้นตามลำดับ การค้าต่างประเทศในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้นเป็นแหล่งรายได้ของรัฐบาลราชสำนักแต่มีลักษณะต่างกัน การค้ากับต่างประเทศในสมัยอยุธยาส่วนใหญ่เป็นการค้าของป่าหรือเป็นการค้าที่สินค้ามาจากดินแดนอื่นโดยอยุธยาเป็นเมืองท่าส่งสินค้าต่อไปยังเมืองท่าอื่นๆ ปริมาณการค้าของรัตนโกสินทร์เพิ่มขึ้นกว่าสมัยอยุธยามากตามการเติบโตของปริมาณการค้าโลกที่เพิ่มขึ้นหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศตะวันตก การค้าขายในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นมีสินค้าหลากหลายมากขึ้น และสินค้าป่าลดความสำคัญลง สินค้าที่ส่งออกเป็นสินค้าเกษตรหรือสินค้าหัตถกรรมสินค้าอุตสาหกรรมขั้นต้น ที่อาศัยแรงงานในกระบวนการผลิตมากขึ้น

ข้าว เป็นพืชสำคัญที่การปลูกอย่างแพร่หลายในสยาม เป็นพืชหลักในทุกภูมิภาคของราชอาณาจักร ข้าวที่ปลูกนั้นแบ่งตามอายุการเก็บเกี่ยวเป็น 3 ชนิด คือ ข้าวเบา ข้าวกลางและข้าวหนัก

ข้าวเบาเป็นข้าวที่เก็บเกี่ยวภายในสามเดือน ข้าวกลางจะเก็บเกี่ยวภายในสี่เดือนครึ่ง ข้าวหนักจะเก็บเกี่ยวภายในหกเดือน รัฐบาลราชสำนักส่งเสริมให้ไพร่ทาสราษฎรในสังกัดปลูกข้าวเนื่องจากเป็นอาหารของราษฎรในประเทศ ผลผลิตที่ผลิตได้ราษฎรจะต้องส่งให้ราชการเก็บไว้ใช้เป็นเสบียงบางส่วน และ รัฐบาลสามารถเกณฑ์แรงงานไพร่ทาสไปทำการเกษตรได้เมื่อรัฐบาลราชสำนักมีความต้องการ

ฝ้าย ฝ้ายเป็นพืชไร่ที่ปลูกกันมากที่สุดในราชอาณาจักร ฝ้ายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ โดย นักการทูตเบอร์นีได้บันทึกไว้ว่า การผลิตฝ้ายในสยามอยู่ที่ประมาณ 50,000 หาบต่อปี และแหล่งผลิตฝ้ายที่สำคัญของสยามอยู่ทางแถบตะวันตกติดกับทวาย (สุพรรณบุรีและกาญจนบุรีในปัจจุบัน) ฝ้ายแบบไม่เอาเมล็ดออกขายกันหาบละ 8 บาท หากเอาเมล็ดออกขายกันที่หาบละ 13 บาทส่วนใหญ่ส่งออกไปไหหลำ ประเทศจีน ปีหนึ่งประมาณ 20,000 หาบ

พริกไทย สมัยพระนารายณ์มีการส่งออกพริกไทยมากแต่ต่อมาการปลูกพริกไทยเพื่อการค้าได้ถดถอยลงอย่างมากจากการติดต่อการค้ากับตะวันตกที่ลดลงอย่างมากและเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองในราชอาณาจักรอยุธยาจนกระทั่งพม่าได้เข้ามายึดครองอยุธยาในปี พ.ศ. 2310 จนกระทั่งเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นจึงได้มีการค้าพริกไทยอีกครั้งหนึ่ง ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการปลูกพริกไทย คือ ชาวสยามเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว โดยเฉพาะในพื้นที่หัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก แถบจังหวัดจันทบุรี ตราด ชลบุรีและนครชัยศรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวสยามเชื้อสายจีนอาศัยอยู่จำนวนมาก ต่อมาเมื่อการค้าพริกไทยขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงมีการเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูกมายังหัวเมืองชายทะเลทางใต้พริกไทยเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในยุคนั้นและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง การค้าพริกไทยจึงถูกผูกขาดโดยรัฐบาลราชสำนัก ผู้ผลิตพริกไทยจะต้องนำพริกไทยที่ผลิตได้มาขายให้พระคลังสินค้าเท่านั้น แล้วพระคลังสินค้าจะส่งต่อไปยังต่างประเทศ มีการส่งออกปีละ 70,000 หาบต่อปีตามการบันทึกของ นายเฮนรี่ เบอร์นี นักการทูตชาวอังกฤษ

อ้อย การก่อตัวของอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายในทศวรรษ 2350 ทำให้อ้อยกลายเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ ก่อนหน้านั้นชาวสยามจะทำน้ำตาลจากต้นตาลโตนดและมะพร้าว เนื่องจากใช้กรรมวิธีการผลิตที่ง่ายกว่าการผลิตน้ำตาลจากอ้อย อ้อยซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านที่ชาวสยามรู้จักดีจึงไม่ได้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากนักก่อนที่อุตสาหกรรมน้ำตาลทรายจะเริ่มเติบโตขึ้นในภายหลัง ชาวสยามเชื้อสายจีนแต้จิ๋วได้บุกเบิกอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายและการปลูกอ้อยจนทำให้ในสมัยปลายรัชกาลที่ 3 ราชสำนักสยามสามารถส่งออกน้ำตาลทรายได้มากถึง 708,000 บาท น้ำตาลทรายกลายเป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุดและส่วนใหญ่ผลิตจากอ้อย (บันทึกโดยพ่อค้าชาวอังกฤษชื่อ มัลลอค) ตามหลักฐานที่ถูกบันทึกเอาไว้ ไร่อ้อยขนาดใหญ่และโรงงานทำน้ำตาลทรายมีอยู่มากในเมืองสาครบุรี นครชัยศรี พนัสนิคม บางปลาสร้อย ฉะเชิงเทรา เป็นต้น

ชาวจีนอพยพส่วนใหญ่แรงงานรับจ้างในไร่อ้อยขนาดใหญ่ ส่วนสยามเชื้อสายไทยนั้นมักเป็นผู้ผลิตอิสระ ผู้ลงทุนในกิจการอ้อยและน้ำตาลทรายที่เป็นเจ้านาย ขุนนางมักลงทุนในธุรกิจนี้แบบครบวงจร โครงสร้างการผลิตอ้อยเพื่อทำน้ำตาลทรายจึงแตกต่างจากพืชชนิดอื่น เป็นโครงสร้างแบบอุตสาหกรรม เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยไม่ใช่ผู้ผลิตอิสระ ส่วนใหญ่เป็นผู้รับจ้างผลิตเพื่อป้อนโรงงานน้ำตาลทราย รัฐบาลราชสำนักให้ความสำคัญกับการปลูกอ้อยและกิจการน้ำตาลทรายเนื่องจากเจ้านายและขุนนางคนสำคัญล้วนมีผลประโยชน์ในธุรกิจนี้ จึงมีกระบวนการในการส่งเสริมและควบคุมดูแลไปยังหัวเมืองต่างๆ นอกจากนี้ รัฐบาลยังเรียกเก็บภาษีจากการอ้อยปลูกใหม่ไร่ละ 1 บาท

ยาสูบ เดิมผลิตภัณฑ์ยาสูบมีการนำเข้าจากชวา แต่ยาสูบก็มีการปลูกโดยทั่วไปเช่นเดียวกับ หมาก พลู เพื่อใช้บริโภคภายในครัวเรือน แต่ปริมาณที่ผลิตได้ไม่เพียงพอต่ออุปสงค์ภายในประเทศจึงมีการนำเข้าจากชวา ในสมัยอยุธยานั้น ชาวสยามต้องนำเข้ายาสูบจากชวา ฟิลิปปินส์และจีน เมื่อการค้ากับต่างประเทศเริ่มขยายตัวในปลายรัชกาลที่สอง การปลูกยาสูบเพื่อการค้าจึงเริ่มเติบโต โดยแหล่งผลิตที่สำคัญ คือ จันทบุรีและบางปลาสร้อย ซึ่งดำเนินการโดยชาวสยามเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่