Re-energize... เติมไฟพนักงาน

Re-energize... เติมไฟพนักงาน

ช่วยกรุณาอ่านหัวข้อเรื่องดีๆนะคะ เราจะมา เติมไฟ ไม่ใช่ ใส่ไฟ พนักงานกันค่ะ

ดยทั่วๆ ไปแล้วคนเรามักใช้เวลาในการทำงานเฉลี่ยคนละประมาณ 35 - 45 ปีกว่าอายุจะเข้า 60 ปีซึ่งเป็นวัยเกษียณ

เมื่อคนเราต้องทำงานนานขนาดนี้ เป็นธรรมดาที่จะต้องมีอารมณ์เบื่อหน่ายงานบ้าง เบื่อบ้างสนุกบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเบื่อนานเกินไปเห็นทีจะไม่ปกติ แถมยังจะพาตัวเองและองค์กรติดลบไปด้วยน่ะสิ

จึงต้องพยายามหากลยุทธ์ต่างๆ นานา มาทำให้พนักงานสนุกและเพลิดเพลินกับงานให้บ่อยที่สุด และนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ หน้าที่ในการสร้างงานให้สนุกท้าทายและมีความหมายควรเป็นหน้าที่ของใครดีล่ะ? คงไม่มีคนอื่นนอกจาก HR กับหัวหน้างานทุกระดับที่เป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างความสนุกสนานท้าทายให้เกิดกับงานที่พนักงานต้องทำ และในระหว่าง HR กับหัวหน้างาน ผู้เขียนก็ขอฟันธงว่าหัวหน้างานที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของพนักงานคือผู้ที่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพนักงานและเข้าใจเนื้อหางานของพนักงานมากที่สุด

ดังนั้นก็ขอให้หัวหน้างานยอมรับเสียโดยดีว่าท่านคือผู้ที่รับผิดชอบงานนี้โดยมี HR เป็นผู้ให้คำปรึกษาช่วยเหลือหรือเป็น facilitator ค่ะ

สำหรับวิธีการในการ Re-energize หรือเติมไฟชาร์ตแบ็ตเตอรี่ให้พนักงานที่ซึมเซ็งนั้น ผู้เขียนมีแนวคิดที่น่าสนใจจาก Adrienne Fox ซึ่งได้ไปสัมภาษณ์ HR ของบริษัท Albemarle ในรัฐหลุยเซียน่า สหรัฐอเมริกา

Albemarle เป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่มีพนักงานถึง 4,000 คนทำงานในประเทศต่างๆ ทั่วโลกถึง 100 ประเทศ ทั้งนี้บริษัทประสบความสำเร็จในธุรกิจเป็นอย่างดี เพราะเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ของสหรัฐฯ

กระนั้นก็ตาม Susan Shepherd ผู้อำนวยการฝ่าย Global HR (การบริหาร HR ระดับโลก) ยังอยากที่จะเห็นพนักงานของบริษัท มีความกระตือรือร้นในการสร้างผลงานเพิ่มขึ้นไปอีก เธอกล่าวว่า เราไม่ได้ถังแตก เรารู้เพียงว่าเราจำเป็นต้องทำให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น Albemarle ห่างไกลจากอาการถังแตกมาก แต่ HR ของบริษัทตระหนักดีว่าเกมการแข่งขันในโลกธุรกิจนั้นเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วมาก จึงไม่ควรนิ่งนอนใจนึกว่าตัวเองดีแล้ว ทางที่ฉลาดคือสร้างความพร้อม เสริมผลงานอยู่ตลอดเวลา

Susan Kelliher ผู้เป็นรองประธานอาวุโสฝ่าย HR ก็เห็นด้วยกับความคิดนี้เช่นกัน เธอได้เล่าว่า ผลงานของพนักงานดูนิ่งๆ แม้ว่าบริษัทจะทำเงินได้มากก็ตามที เธอยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า พนักงานเริ่มเหนื่อยหน่ายหมดใจ (burned out) ดังนั้นฝ่าย HR จึงได้เริ่มทำการ ตรวจสอบระดับพลังงานของพนักงาน (Energy Audit) โดยการปล่อยตัวโครงการ The Energy Project ทันที

จากการสำรวจระดับ energy ของพนักงานผ่าน 4 ปัจจัยหลักคือ ปัจจัยร่างกาย (Physical) ปัจจัยทางด้านอารมณ์ (Emotional) ปัจจัยสุขภาพจิต (Mental) และปัจจัยทางจิตวิญญาณ (Spiritual) ก็พบว่าพนักงานมีพลังงานตกในทั้ง 4 ปัจจัยเลย ทาง Albemarle จึงได้จัดโครงการฝึกอบรมเพื่อฟื้นฟูระดับพลังงานของพนักงานในปัจจัยต่างๆโดยมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ

ปัจจัยร่างกาย หลักสุขศึกษาที่เราเคยเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ จงนำเอามาใช้เลยนะคะ ได้แก่ การรับประทานอาหารที่ครบ 5 หลัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อยู่ในที่อากาศดีๆ และที่สำคัญมากที่สุดคือการพักผ่อนนอนหลับที่พอเพียง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พนักงานของบริษัทมีปัญหามากเลย

จากการสำรวจพบว่าพนักงานกลุ่ม Talent มักชอบทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่น แล้วก็โผเผลุกมาทำงานแต่พอมีนิสัยแบบนี้นานๆ ร่างกายก็ทรุดโทรมทาง HR จึงร่วมกับหัวหน้างานรณรงค์ให้พนักงานใส่ใจเรื่องมีวินัยการนอนให้พอ โดยให้ฝึกเข้านอนเร็วขึ้นวันละ 1 ชั่วโมง

Albemarle ตระหนักว่า ไม่คุ้มกันเลยกับการที่เคี่ยวงานให้พนักงานต้องทำงานดึกดื่น แล้วนอนไม่พอ เพราะในระยะยาวพนักงานจะล้า งานก็ไม่ออก ลงท้ายอาจเซ็งจนลาออกหรือไม่ก็ป่วยเรื้อรังต้องเสียงบค่ารักษาพยาบาลอีก การรณรงค์นอนให้พอนี้ทำกันในทุกระดับเลยค่ะ ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงลงมาเลยที่เปลี่ยนสุขนิสัย

ปัจจัยด้านสุขภาพจิต บริษัทมีคะแนนต่ำที่สุดในเรื่องนี้เลย มีพนักงานจำนวนเพียง 20% เท่านั้นที่รายงานว่า เขาสามารถตั้งสมาธิจดจ่อสนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรืองานชิ้นใดชิ้นหนึ่งได้อย่างสม่ำเสมอ ทุกวันนี้ในโลกที่เทคโนโลยีสื่อสารก้าวหน้าอย่างเร่งรุด พนักงานทุกคนจึงได้รับข้อมูลผ่านสื่อต่างๆ แบบกระหน่ำถาโถมจนสมาธิแตก

บริษัทจึงให้คำแนะนำฝึกอบรมพนักงาน ให้จัดแบ่งเวลาอ่านและตอบอี-เมล และอบรมผู้จัดการทั้งหลายให้พยายามลดการส่งอี-เมลนอกเวลางาน และรู้จักทิ้งงานจริงๆ เวลาไปพักร้อน เพราะถ้าเหล่าหัวหน้างานและผู้บริหารไม่ตอบอี-เมลช่วงลาพัก มันจะทำให้พนักงานที่เป็นลูกน้อง มีความกล้าที่จะไม่รับโทรศัพท์และเช็คอี-เมลก่อนเข้านอนเช่นกัน

ปัจจุบันบริษัทประกาศบอกพนักงานให้ลาพักร้อน โดยไม่ต้องพกเอาโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วย นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาลดการประชุมที่ไม่จำเป็นออกไปเสียบ้าง เพราะการที่ต้องเข้าประชุมอย่างถี่ยิบโดยไม่มีเวลาเบรก จะลดประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลง งานวิจัยหลายชิ้นแสดงข้อมูลว่า คนเราทำงานได้ดีขึ้น ถ้ามีช่วงพักที่ไม่มีใครรบกวนสัก 90 นาที...อ่านแล้วรู้สึกวิเศษจริงๆ ค่ะที่มีองค์กรที่ใส่ใจสุขภาพพนักงานอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่เพียงลมปากอย่างที่เจอๆ กันอยู่

ปัจจัยด้านอารมณ์ วิธีการที่จะทำให้พนักงานมีอารมณ์ดีที่ Albemarle ทำก็คือ การแสดงว่าเห็นในคุณค่าของพนักงาน และมีความไว้วางใจในตัวพนักงาน ผลการศึกษาของ Gallup ระบุว่าเมื่อพนักงานได้ทำงานที่ได้แสดงจุดแข็งหรือจุดเด่นของเขา เขาจะมีอารมณ์ดีและมีความสุข แม้ว่าจะต้องทำงานนั้นนานๆ ก็ไม่เบื่อ

เมื่อ Albemarle เข้าใจในจิตวิทยาข้อนี้ จึงพยายามจัดมอบหมายงานที่ได้ใช้จุดเด่นของพนักงาน และมอบความไว้วางใจเต็มที่ให้เขาเดินหน้าลุยงานไปเลย วิธีนี้ทำให้พนักงานรู้สึกดีเพราะได้ทำงานที่ชอบและสามารถสร้างผลงานได้ดี... อารมณ์ดีกันถ้วนหน้าค่ะ นอกจากนี้หัวหน้างานก็จะหมั่นพูดคุยซักถามพนักงานว่า มีอะไรที่ทำให้พวกเขาเครียดหรือเป็นกังวลเวลาทำงาน แล้วก็จะพยายามแก้ปัญหานั้นๆ ให้ลดลงไป

ปัจจัยด้านจิตวิญญาณ เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด มันเป็นเรื่องของความเชื่อและปรัชญาในการดำรงชีวิต และดำเนินงานของพนักงาน Albemarle พยายามสื่อสารทั้งคำพูดและการกระทำให้พนักงานซึมทราบว่า งานที่พวกเขาทำอยู่มีความสัมพันธ์และสำคัญกับการดำรงอยู่ของบริษัทอย่างไร เมื่อสามารถทำให้พนักงานตระหนักถึงโซ่แห่งความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาและองค์กรได้ พนักงานจะรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับองค์กร และผูกพันรักใคร่องค์กรมากขึ้น

ปัจจัยเพียง 4 ข้อนี้คือพื้นฐานความสุขของมนุษย์เดินดินทั่วไป ที่ไม่ได้อิงหลักวิชาการซับซ้อนอะไรมากมาย แต่เป็นพื้นฐานที่คนทำงานมองข้าม โดยไปมุ่งแสวงหากลยุทธ์ที่ยุ่งยากวุ่นวาย โดยลืมไปว่าแท้จริงคนเราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า กินอิ่ม นอนหลับ

และมีความเมตตาให้กันและกันเท่านั้น