เรียนรู้จากเพื่อนบ้าน กรณี "บังซาโมโร" (จบ)

ความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์และระบบการเมืองแบบสุลต่านที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ปัญหาและการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
ระหว่างมุสลิมในมินดาเนากับรัฐฟิลิปปินส์ยุ่งยากมากขึ้น ภายหลังจากการต่อสู้ด้วยอาวุธมายาวนาน ต่างฝ่ายต่างก็พบว่าไม่มีทางยุติกันได้ด้วยการใช้กำลัง ความพยายามที่จะเจรจาเพื่อหาข้อยุติความขัดแย้งในพื้นที่เกิดขึ้นหลายครั้ง
แต่ดังที่ได้กล่าวมาในคราวก่อนว่าความหลากหลายของกลุ่ม “ชาติพันธุ์” ในพื้นที่มินดาเนามีมาก พร้อมกันนั้นความหลากหลายนี้จำนวนหนึ่งก็ถูกครอบคลุมด้วยระบบการปกครองแบบสุลต่าน รัฐสุลต่านบางรัฐก็มีกลุ่มคนที่พูดภาษาและมีวัฒนธรรมไม่เหมือนกันสอง-สามภาษา เป็นต้น
ความหลากหลายของแต่ละกลุ่มก็มีเป้าหมายในการต่อสู้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์ไม่ตรงกัน ในช่วงแรกๆ ที่เริ่มต่อสู้นั้น แต่ละกลุ่มพยายามลบความแตกต่างและสร้างเป้าหมายกว้างๆ รวมกัน ได้แก่ ความเป็นอิสระของคนในพื้นที่มินดาเนา แต่กรอบคิดที่แตกต่างกันของแต่ละกลุ่มทำให้การเจรจาเพื่อยุติการสู้รบที่ผ่านมาไม่ประสบผลสำเร็จ
การรวมตัวเพื่อต่อสู้/ต่อรองกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ของคนในมินดาเนาจึงผสมผสานกันในหลากหลายมิติ ช่วงแรกสุดเป็นกลุ่มคนพื้นเมืองเรียกตนเองว่ากลุ่มลูมัค (LUMAD) ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อยืนยันการใช้สิทธิบนที่ดินตามบรรพบุรุษ แต่ต่อมาได้เกิดการรวมหลายกลุ่มให้อยู่ภายใต้กรอบร่วมกัน คือ การเป็นอิสระจากการปกครองของฟิลิปปินส์ในนามของแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโร (Moro National Liberation Front - MNLF) ซึ่งการเจรจาของกลุ่ม MNLF นี้ได้รับการสนับสนุนจากอดีตประธานาธิบดี กัดดาฟี ประเทศลิเบีย และต่อมาองค์กรที่ช่วยในการเจรจาได้แก่ Organization of Islamic Cooperation (OIC) ซึ่งได้ข้อยุติในระดับของการปกครองตนเองที่มีอิสระโดยสัมพัทธ์จากรัฐบาลกลาง (ข้อตกลงในการเจรจาที่เกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.1976 จึงเรียกว่า Tripoli Agreement)
แต่ความแตกต่างและหลากหลายของกลุ่มทำให้ข้อตกลงในปี 1976 ล้มเหลว ทำให้เกิดการแยกตัวของกลุ่มที่เน้นการต่อสู้เพื่อเป็นประเทศอิสลาม ไม่ใช่เพียงแต่ได้รับการปกครองตนเองภายใต้อำนาจส่วนกลาง กลุ่มใหม่ที่แยกตัวออกมานี้ เรียกตนเองว่า แนวร่วมอิสลามเพื่อการปลดปล่อยชาติโมโร (Moro Islamic Liberation Front - MILF) และได้กลับมาสู่การใช้กำลังอาวุธต่อสู้อย่างรุนแรงต่อไป
พร้อมกับการแยกตัวของ MILF จาก MNLF ก็เกิดการแยกกลุ่มย่อยที่ใช้แนวทางการต่อสู้ด้วยความรุนแรงทุกรูปแบบที่สำคัญมากที่สุด ได้แก่ กลุ่ม Abu Sayyaf Group (ASG) ซึ่งปฏิบัติการทางการเมืองของกลุ่มนี้เน้นการใช้ทุกวิถีทางอันทำให้สังคมตื่นตระหนกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความหลากหลายของกลุ่มทำให้ไม่ง่ายที่จะสร้างข้อตกลงกลางร่วมกัน แต่การเจรจาก็ยังคงดำเนินต่อไปพร้อมๆ กับการสู้รบในพื้นที่ แต่ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นในปลายทศวรรษ 1990 ต่อ 2000 ได้แก่ การเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ประสานการเจรจาของประเทศมาเลเซียแทน และการขยายตัวของการปลูกพืชทางเศรษฐกิจในบางส่วนของพื้นที่มินดาเนา
การเข้ามามีบทบาทในการเจรจาของประเทศมาเลเซียเกิดขึ้นเพราะการรื้อฟื้น “อำนาจ” ของระบบสุลต่านของซูลูได้เริ่มมีผลกระทบต่อมาเลเซียมากขึ้น กล่าวคือ ภายใต้เงื่อนไขของการต่อสู้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์ของกลุ่มต่างๆ ได้ทำให้หลายกลุ่มหันกลับไปสู่การสร้างพลังของวัฒนธรรมการเมืองเดิมขึ้นมา ระบบสุลต่านได้รับการรื้อฟื้นเข้มข้นมากขึ้นในหลายพื้นที่ (ท่านผู้อ่านสามารถดูพิธีกรรมในเชิงราชพิธีของสุลต่านได้ทางอินเทอร์เน็ตครับ) โดยเฉพาะสุลต่านแห่งซูลู ที่เดิมก่อนอาณานิคมเข้ามานั้นมีอำนาจครอบคลุมไปถึงพื้นที่รัฐซาบาห์ ของประเทศมาเลเซียปัจจุบัน
การรื้อฟื้นอำนาจในระบบสุลต่านแห่งซูลูทำให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องไปสู่การเรียกร้องการปกครองตนเองแบบอิสลามในพื้นที่รัฐซาบาห์ การอพยพคนจากหมู่เกาะซูลูของฟิลิปปินส์ไปยังพื้นที่ซาบาห์ได้เพิ่มมากขึ้นจากเดิมมาก ทำให้มาเลเซียวิตกกังวลและตัดสินใจเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ประสานการเจรจาเพื่อความสงบในพื้นที่มินดาเนาอันจะส่งผลให้ลดการเคลื่อนไหวในพื้นที่ซาบาห์ของตน
ขณะเดียวกัน การขยายตัวของบริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรได้เข้าไปใช้พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ของมินดาเนาเข้มข้นมากขึ้น บริษัทเหล่านี้รู้ดีว่าจำเป็นที่จะต้องให้ความหวังแก่ผู้คนในพื้นที่ว่าการทำงานการผลิตร่วมกับบริษัทจะทำให้ชีวิตก้าวหน้ามากขึ้น นโยบายของบริษัทจึงเน้นการขูดรีดไม่มากนักเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทในระยะยาว การขยายตัวของการผลิตสินค้าเกษตรเชิงพาณิชย์นี้เข้มข้นมาในพื้นที่ของกลุ่ม MILF
ความเปลี่ยนแปลงอย่างน้อยสองด้านที่กล่าวมานี้ ได้ทำให้เกิดการเจรจาครั้งสำคัญเกิดขึ้น ได้แก่ การมีข้อตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอันมีมายาวนาน เรียกว่า "ข้อตกลงร่วมสมบูรณ์เรื่องการปกครองเขตโมโร" (Comprehensive Agreement on Bangsamoro) ซึ่งเป็นการเจรจาระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์กับกลุ่ม MILF ในวันที 27 มีนาคมที่ผ่านมา
ถือได้ว่าบทบาทของมาเลเซียในฐานะผู้ประสานงานเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้การเจรจาตกลงกันได้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงชีวิตทางเศรษฐกิจของคนในพื้นที่ MILF ก็มีส่วนอย่างมากในการทำให้ผู้นำกลุ่มต้องยอมรับในการตกลง
แต่ข้อตกลงนี้ไม่ได้นำมาสู่ความสงบเรียบร้อยในเร็ววัน เพราะทางกลุ่ม MNLF กลับถูกทิ้งหรือหลุดออกจากกรอบการเจรจา ซึ่งทำให้เกิดปฏิบัติการทางการเมืองที่จะทำให้ต้องเกิดการเจรจารอบใหม่ที่จะต้องครอบคลุมประเด็นต่างๆ ของแต่ละกลุ่มมากขึ้น การบุกเข้าไปยึดพื้นที่ในรัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซียของกลุ่มนิยมสุลต่านแห่งซูลูเป็นหนึ่งในปฏิบัติการที่จะดึงให้มาเลเซียต้องขยายหรือเปลี่ยนบทบาทตนเองให้ไม่จำกัดเฉพาะการเจรจากลุ่ม MILF
นอกจากนั้น "ข้อตกลงร่วมสมบูรณ์เรื่องการปกครองเขตโมโร" ก็ยังต้องการการทำให้รายละเอียดของชีวิตพลเมืองในพื้นที่ “บังซาโมโร” ว่าจะเป็นไปในรูปที่ผสานความหลากหลายทางชาติพันธุ์ได้หรือไม่ เช่น ภาษากลางจะใช้ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ใด หรือสิทธิตามบรรพบุรุษในกลุ่มคนพื้นเมืองที่ไม่ใช่มุสลิมจะดำรงอยู่อย่างไร
แน่นอนว่า ปัญหายังคงมีอยู่ให้แก้ไขในมินดาเนา แต่อย่างน้อยการเจรจาจนได้ข้อตกลงที่คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเห็นพ้องด้วยก็เป็นการก้าวเดินหน้าที่สำคัญอย่างยิ่ง
สังคมไทยของเราล่ะครับ เราจะก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร หากแต่ละฝ่ายไม่ยอมฟัง/เจรจากันเลย







