เกียรติภูมิของความเป็น "ผู้นำ"

เกียรติภูมิของความเป็น "ผู้นำ"

สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในเวลานี้ ประชาชนต่างจับจ้องไปที่ความเคลื่อนไหวจากฝ่ายต่างๆทั้งฝ่ายสนับสนุนให้ดำรงสถานภาพ"นายกรัฐมนตรี"ต่อไป

ตามความเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติ ตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายหนึ่งที่ออกมาคัดค้านการดำรงตำแหน่ง โดยหยิบยกเหตุผลการบริหารราชการที่ผิดพลาด และมีความเป็นไปได้ว่ามีการฉ้อราษฎร์บังหลวง สมรู้ร่วมคิดระหว่างผู้ได้รับผลประโยชน์อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมืองเป็นอย่างมาก ประการสำคัญก็คือการออกมาแสดงให้เห็นถึงการไม่เคารพกฎหมายเสียเอง โดยอ้างว่าคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้อยู่บนพื้นฐานกฎหมายที่มีความถูกต้องชอบธรรมแก่ฝ่ายตนเอง จึงไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด

ความจริงแล้วการออกมาถกเถียงโดยไม่ได้ยึดถือ "คัมภีร์" หรือระเบียบกฎเกณฑ์ที่ทุกฝ่ายต่างยอมรับร่วมกัน แต่เลือกยึดเอา "ความเหมาะสม" เป็นประเด็นสำหรับพิจารณา เป็นเรื่องที่หาข้อสรุปได้ยาก เนื่องจากความเหมาะสมเป็นเรื่องของดุลพินิจหรือการใช้วิจารณญาณ ซึ่งแต่ละบุคคลแต่ละฝ่ายต่างก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันตามภูมิหลัง ประสบการณ์และข้อตกลงที่เปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการร่วมกัน ดังคำกล่าวที่ว่า “หลายคนยลตามช่อง” ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงเงื่อนไขข้อตกลงพิเศษต่างๆ ที่ไม่เปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ ทั้งที่เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรับรู้เข้าใจกันเป็นอย่างดี และฉบับ "ลับ-ลวง-พราง" ที่หากมีการเผยแพร่ออกมาแล้วเชื่อแน่ว่าสังคมจะต้องได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างมหาศาลที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จนสาธารณชนจะต้องหันกลับมาทบทวนตั้งข้อสงสัยเนื่องจากไม่เคยระแคะระคายเรื่องราวนั้นๆ มาก่อนเลยก็ได้

ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ตำแหน่ง "ผู้นำตามธรรมชาติ" ที่เป็นโดยสถานภาพ ต่างจากในอดีตที่การสืบทอดความเป็นผู้นำเป็นไปจากรุ่นสู่รุ่นโดยอาศัยความเชื่อและอิทธิพลของกลุ่มบุคคล รวมทั้งไม่มีข้อสรุปที่แน่นอนลงไปว่าบุคคลแบบใดเหมาะสมกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือระบุลงไปชัดเจนว่า "ภาวะผู้นำ" (Leadership) สำหรับการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีจะต้องเป็นอย่างใดแน่นอน เพียงแต่กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้นำที่ดี อันประกอบด้วย

ความซื่อสัตย์ (Honesty) ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creative Thinking) ความรู้ในงานที่รับผิดชอบ (Knowledge) สติปัญญาเฉลียวฉลาด (Intelligence) ความมุ่งมั่นต่อความสำเร็จ (Commitment) ทักษะในการสื่อสาร (Community) และบุคลิกภาพดี (Personality) มองตนเองในแง่บวก มีความยืดหยุ่นในการคิดทำตามสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าผู้นำแต่ละคนต่างก็มีส่วนผสมของคุณสมบัติแต่ละข้อเหล่านี้มากน้อยตามแบบฉบับของแต่ละคน รวมทั้งสถานการณ์ในเวลานั้นๆ จะเป็นตัวกำหนดภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรีแต่ละคนว่ามีการดำรงสถานภาพและแสดงบทบาทได้อย่างเหมาะสมมากน้อยเพียงใด เราจึงได้เห็นว่านายกรัฐมนตรีบางคนทั้งที่ได้รับการคาดหวัง ยอมรับในชื่อชั้นประสบการณ์ และผลงานที่ผ่านมาก่อนหน้าที่จะมาดำรงตำแหน่งกลับไม่ประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด

ดังนั้น การออกมายอมรับหรือปฏิเสธถึงความเป็นผู้นำของตนเองหรือโดยอาศัยพรรคพวกของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นจากบุคคลที่ได้รับประโยชน์ร่วมกับการดำรงตำแหน่งจึงไม่อาจชี้ชัดได้ถึงความถูกต้องเหมาะสมอย่างแท้จริง การใช้ความพยายามสร้างความชอบธรรมด้วยการออกมาเคลื่อนไหวต่างๆ นานาทั้งในรูปแบบและนอกรูปแบบเพื่อหวังจะสร้างความยอมรับจากมวลชน จึงไม่อาจสร้างภาพที่ดีได้อย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้นวิธีการโหนกระแสโดยอาศัยบุคคลที่มีความรู้และชื่อเสียงทางกฎหมายมาตีความตามข้อบัญญัติหรือระเบียบปฏิบัติที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์เอื้ออำนวยแก่ตนเอง โดยการอธิบายเชื่อมโยงไปถึงหลักการและทฤษฎีจำนวนมากเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ทั้งที่จริงแล้วหากพิจารณาให้ดีอาจเป็นการอ้างอิงกฎหมายถูกบ้างไม่ถูกบ้างจนกลายเป็นความสับสนแก่ประชาชน เพื่อยืนยันถึงความถูกต้องของการดำรงตำแหน่งจึงเป็นเรื่องที่รู้อยู่แก่ใจและน่าละอายใจเป็นอย่างยิ่ง

แท้จริงแล้วความต้องการของประชาชนที่ถูกเรียกอย่างอคติในบางครั้งว่า "กระแสสังคม" อาจเป็นตัวชี้วัดที่ดีก็ได้หากเปิดใจให้กว้างถึงที่มาของกระแสที่มีความรุนแรงถาโถมมากขึ้นเรื่อยๆ เราจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการออกมาเรียกร้องที่ปราศจากอามิสสินจ้างหรือการชี้นำที่เคลือบแคลงแฝงไว้ด้วยจุดมุ่งหมายบางอย่าง สามารถใช้เป็นเนื้อหาสาระที่นำมาประกอบการพิจารณาได้ว่าควรจะตัดสินใจดำเนินการอย่างไรต่อไป แม้ว่ากระแสสังคมที่เกิดขึ้นในเวลานั้นอาจดูแล้วว่าไม่ถูกใจหรือถูกต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในมือของตนเองก็ตาม แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการนำไปสู่ความขัดแย้งที่ก่อตัวเป็นความหายนะแก่บ้านเมือง ผู้นำที่ดีก็มีความจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้แก่ทุกฝ่ายที่ออกมาเรียกร้อง เปิดใจและแสดงออกซึ่งความเสียสละเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม แล้วจึงหาโอกาสสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้นมาใหม่ในภายหลัง ทั้งนี้ หากบุคคลนั้นเป็นผู้นำที่เป็นคนที่ดีจริง การเรียกร้องเพื่อให้กลับมาเพื่อดำรงตำแหน่งอีกครั้งหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

... อย่างไรก็ตามผู้เขียนเชื่อว่า วิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือ "การตั้งคำถาม" เพื่อถามกับตนเองโดยปราศจากอคติและซื่อสัตย์กับตนเองว่า ยังมีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไปหรือไม่ ? แล้วจะค้นพบคำตอบด้วยตัวของตัวเอง เนื่องจากเราสามารถหลอกลวงคนทั้งโลกได้โดยที่ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง แต่ทำอย่างใดบุคคลนั้นก็ไม่สามารถโกหกตนเองได้อย่างแน่นอน

... ภาพของสิ่งที่เรียกว่า "เกียรติภูมิ" ที่แปลว่า "เกียรติที่เกิดจากความนิยมชื่นชม" และความเหมาะสม ที่สังคมร่ำร้องเรียกหาก็จะปรากฏชัดแจ้งแก่ตัวของเราเองอย่างไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป