ความน่าจะเป็นคำตัดสินของศาลโลก

ความน่าจะเป็นคำตัดสินของศาลโลก

ภายหลังจากการที่โฆษกศาลโลกได้ประกาศว่าศาลจะเลื่อนการตัดสินคดีประสาทพระวิหารมาเป็นวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ได้ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว

ทางการเมืองในประเทศไทยหลายด้านเช่น ทางรัฐสภาเกี่ยวกับการพิจารณากฎหมายหลายฉบับและทางรัฐบาลก็ประกาศขยายเวลาการประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงเทพออกไปจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2556

ทางโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้คาดหมายว่าศาลโลกคงจะตัดสินทางใดทางหนึ่งใน 4 ทางคือ

1. ไม่รับคำตัดสินเพราะเป็นการนำเรื่องเก่ามาให้ตีความใหม่

2. รับคดีไว้ตัดสินความตามข้อต่อสู้ของประเทศไทย

3. รับคดีไว้ตัดสินความข้อต่อสู้ของกัมพูชา

4. ศาลรับฟังข้อต่อสู้ของคู่กรณีแล้ว ตัดสินตามดุลพินิจของศาลเอง

ตามประเด็นที่ 1 ประเทศกัมพูชาได้ยื่นเสนอให้ศาลโลกพิจารณาตีความคำพิพากษาของศาลโลกเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารในวันที่ 28 เมษายน 2554 ปรากฏว่าศาลมีมติรับเรื่องไว้พิจารณา 11-5 ทั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นเสนอข้อคัดค้าน ดังนั้น ศาลโลกจึงมีอำนาจที่จะตีความตามที่ ทางกัมพูชาเสนอ ตามข้อ 3 และ 4

แนวโน้มที่ศาลโลกจะใช้ดุลพินิจของศาลตัดสินเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่คู่กรณีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามวัตถุประสงค์กรอบขององค์การสหประชาชาติ บทบัญญัติของศาลโลก และข้อกำหนดขององค์การเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรมที่ได้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ข้อพิพาทปราสาทพระวิหารระหว่างกัมพูชากับประเทศไทย

ลำดับเหตุการณ์ความเป็นมาของคดีเขตแดนปราสาทพระวิหารมีดังนี้

1. วันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา

2. วันที่ 13 กรกฎาคม 2505 ประเทศไทยคัดค้านคำพิพากษาว่าขัดต่อกฎหมายและความยุติธรรม ระหว่างประเทศ (สันปันน้ำ) และสงวนสิทธิ์ที่จะเรียกร้องปราสาทพระวิหารคืนในอนาคต

3. วันที่ 8 มกราคม 2548 กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร

4. วันที่ 30 มกราคม 2549 กัมพูชาได้ยื่นเอกสารเพิ่มเติมเสนอปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก

5. วันที่ 20 มิถุนายน 2550 UNESCO ขอให้ไทยกัมพูชา แก้ไขปัญหาชายแดนที่คาบเกี่ยว (Tran boundary property) ร่วมกัน

6. วันที่ 28 มิถุนายน 2550 กรรมการมรดกโลกขยายเวลาให้ไทยและกัมพูชาร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาชายแดนร่วมกันที่เมือง Christ church

7. วันที่ 17 มีนาคม 2551 ครม. ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช มีมติรับรองแถลงการณ์ร่วมไทยกัมพูชา

8. วันที่ 18 มิถุนายน 2551 ดร.นพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนรัฐบาลไทยสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้น ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ตามคำแถลงการณ์ร่วม

9. ในการประชุมพิจารณามรดกโลกครั้งที่ 32 ที่ เมื่อควิเบค Canada ที่ประชุมมีมติในวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 โดยกำหนดเป็น 4 เขต

9.1 เขตแดนหลักกรรมสิทธิ์ (Core Zone)

9.2 พื้นที่ล้อมรอบพระวิหาร (Surrounding areas)

9.3 เขตกันชน (Buffer Zone)

9.4 เขตพัฒนา (Development Zone)

10. วันที่ 8 กรกฎาคม 2551 UNESCO ได้จดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

11. วันที่ 22 มิถุนายน 2551-3 ตุลาคม 2551 มีปัญหาปะทะยิงข้ามพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา

12. วันที่ 28 กรกฎาคม 2554 กัมพูชา เสนอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษา เดิมวันที่ 15 มิถุนายน 2505

13. วันที่ 15-19 เมษายน 2556 การแถลงด้วยวาจาของกัมพูชาและไทยต่อศาลโลก

14. วันที่ 21 พฤษภาคม 2556 ผู้แทนไทยโดยนายวีรชัย พลาศรัย ยื่นคำแก้ฟ้องเป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาลโลก

15. วันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ศาลโลกกำหนดตัดสินคดี

นอกจากเหตุการณ์ทางคดีความดังกล่าวข้างต้น ยังมีกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 1 กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติคือ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงระหว่างประเทศ ข้อที่ 2 สหประชาชาติยอมรับความเท่าเทียมกันของประเทศสมาชิก และประเทศสมาชิกต้องแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกัน โดยสันติวิธีโดยไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงและความยุติธรรมของนานาชาติด้วย

ศาลโลกเป็นองค์กรหนึ่งของสหประชาชาติ มีหน้าที่ตัดสินข้อขัดแย้งทางกฎหมายระหว่างประเทศ คู่กรณี ซึ่งเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ (UN) และเสนอความเห็น ชี้แนะปัญหาด้านกฎหมาย ที่องค์กรระหว่างประเทศขอให้ศาลโลกพิจารณา

มีผู้พิพากษา 15 คน มีวาระดำรงตำแหน่ง 9 ปี จากประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติ รวมกับผู้พิพากษาเฉพาะกรณีอีก 2 คน รวมเป็น 17 คน ในกรณีที่ประเทศที่เป็นคู่ความไม่สามารถจะนั่งพิจารณาได้เพราะถูกคัดค้านว่ามีประโยชน์ส่วนได้เสียกับประเทศของตน โดยสรุปการนั่งพิจารณาคดีของศาลโลก ต้องมีองค์คณะ 15 คน บางครั้งถ้าไม่มีคดีของประเทศที่ผู้พิพากษาเป็นตัวแทน ซึ่งประเทศอื่นขัดแย้งกัน ก็อาจจะมีผู้พิพากษา ถึง 17 คนเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา

หน้าที่ของศาลโลกคือ ระงับความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ให้ความเห็นและเสนอแนะด้านกฎหมาย จากองค์กรระหว่างประเทศ

ธรรมนูญศาลยุติธรรมของศาลโลก ตามบทบัญญัติข้อ 38 กำหนดให้ศาลโลกยึดหลัก

1. กฎหมายระหว่างประเทศ

2. จารีตประเพณีระหว่างประเทศ

3. หลักกฎหมายของชาติที่มีอารยธรรมเป็นที่ยอมรับ

4. หลักกฎหมายที่นักวิชาการได้เขียนไว้

5. คำพิพากษาครั้งก่อน ของศาลโลกที่ได้ตัดสินไว้

องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้องค์การสหประชาชาติ ซึ่งสนับสนุนให้ประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติร่วมกันจัดทำแผนจัดการและจัดทำระบบรายงานการอนุรักษ์พื้นที่มรดกโลก พร้อมทั้งสนับสนุนให้ประชาชนในท้องถิ่นร่วมกันทะนุบำรุงมรดกวัฒนธรรมและธรรมชาติด้วย UNESCO ยังเน้นถึงความสำคัญของพื้นที่ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกว่าเป็นพื้นที่ของประชากรโลกทั้งมวล สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ โดยไม่คำนึงว่าพื้นที่มรดกโลกนั้นตั้งอยู่ในเขตแดนของประเทศใด

เมื่อนำความเป็นมาของเหตุการณ์ในคดีปราสาทพระวิหารแล้ว มีประเด็นที่ควรพิจารณาดังนี้

1. คำพิพากษาเดิมของศาลโลกได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา แต่ศาลไม่ได้กำหนดถึงเขตพื้นที่ชิดติดกัน (vicinity) ว่าจากตัวปราสาทพระวิหาร พื้นที่ติดกันทั้ง 4 ด้าน ห่างออกไปกี่เมตร แต่เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 กัมพูชาได้เสนอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษา ที่ตัดสินไว้ในวันที่ 15 มิถุนายน 2505 นั้น กัมพูชาได้เสนอเอกสารที่เป็นแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐบาลกัมพูชากับรัฐบาลไทยมีทั้งหมด 4 ข้อ และรัฐบาลไทยในสมัย ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช ให้การรับรองโดยมอบให้ ดร.นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาในวันที่ 18 มิถุนายน 2551 นั้น รัฐบาลกัมพูชาแบ่งพื้นที่เป็น 4 เขต คือ

1. เขตพื้นที่หลักแดนกรรมสิทธิ์ (Core Zone)

2. เขตพื้นที่ล้อมรอบพระวิหาร (Surrounding areas)

3. เขตแนวกันชน (Buffer Zone)

4. เขตพื้นที่พัฒนา (Development Zone)

ทั้งเขต 1-3 กัมพูชาได้ยื่นพร้อมกับแผนที่เกือบทั้งหมดอยู่ในเขตแดนกัมพูชา

ศาลโลกคงตีความได้เฉพาะเขตชิดติดกัน (Vicinity) ซึ่งกัมพูชาใช้คำว่าพื้นที่เขตล้อมรอบพระวิหารตามข้อ 2 ซึ่งกินบริเวณชิดติดประสาทพระวิหาร คงไม่พิจารณาเขตพื้นที่กันชน ตามแผนที่ที่กัมพูชาเสนอไป

เพราะในปี 2505 ศาลโลกไม่ได้กล่าวถึงเขตเขตพื้นที่ล้อมรอบพระวิหาร (Surrounding areas) ที่กันชน (Buffer Zone) และเขตพัฒนา (Development Zone) แต่เมื่อประเทศคู่กรณีมีแถลงการณ์ร่วมก็ต้องถือว่าเป็นข้อตกลงประนีประนอมนอกศาล ที่คู่ความตกลงกันตามแถลงการณ์ ทั้ง 6 ข้อ

2. ตามหลักการพิจารณาคดีทั้ง 5 ประการ ศาลโลกคงนำหลักจารีตประเพณีระหว่างประเทศ สัญญาระหว่างประเทศ (Joint Conmunique) และแนวคำพิพากษาครั้งก่อนมาประกอบกัน เมื่อประเทศคู่กรณีได้ตกลงกันว่าเป็น 4 เขตพื้นที่ แสดงว่ารัฐบาลไทยสมัย ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรีได้ยอมรับและมีผลผูกพันมาถึงรัฐบาลปัจจุบันด้วย ได้สละสิทธิ์การคัดค้าน คำพิพากษาศาลโลกและสละการสงวนสิทธิ์ที่จะเรียกร้องปราสาทพระวิหารคืนตามที่รัฐบาล ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ 13 กรกฎาคม 2505 อ้างด้วย

แนวทางที่ศาลโลกจะหยิบยกขึ้นพิจารณาคือ

1. พื้นที่กันชน (Buffer Zone)

2. พื้นที่พัฒนา (Development Zone)

ศาลเคยใช้คำว่าพื้นที่ชิดติดปราสาทพระวิหาร (Vicinity) ศาลโลกไม่น่าจะยอมตีความ พื้นที่กันชน (Buffer Zone) เพราะจะขัดต่อคำพิพากษาที่ผ่านมา คงกำหนดพื้นที่ชิดติดพระวิหารออกไปกี่เมตร ตามที่ศาลเห็นสมควร

3. เมื่อพิจารณาถึงการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก UNESCO มีระเบียบปฏิบัติให้ประเทศที่รับผิดชอบต้องจัดทำแบบจัดการ (Management Plans) ในการอนุรักษ์ทะนุบำรุงมรดกโลกนั้นด้วย การที่รัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบันในข้อตกลงร่วมกันกับรัฐบาลกัมพูชา ต้องถือว่ารัฐบาลไทย ต้องร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาในการจัดทำแบบจัดการในพื้นที่พัฒนา (Development Zone) ร่วมกัน (เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวให้ประเทศทั้งสองได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน เปลี่ยนสนามรบเป็นพื้นที่พัฒนาการท่องเที่ยว)

ระหว่างวันที่ 22 มิถุนายน 2551 ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2551 เมื่อมีปัญหาการปะทะยิงข้ามพรมแดนเขตเขาพระวิหาร รัฐบาลกัมพูชาได้เสนอเขตพิพาทต่อศาลโลก และศาลได้จัดทำร่างแผนที่เขตปลอดทหาร ระหว่างอาณาเขตของไทยและกัมพูชา (Demilitarized Zone) ซึ่งครอบคลุม 4.6 ตารางกิโลเมตรของไทยที่ไทยล้อมรั้วไว้ และอาณาเขตของกัมพูชาประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่

เมื่อนำวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงระหว่างประเทศ ภาระหน้าที่ของ UNESCO ตามแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐบาลกัมพูชากับรัฐบาลไทย ในวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ถือว่าเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศและอยู่ในเขตอำนาจศาลโลกด้วย

ความน่าจะเป็นคำพิพากษาศาลโลก เมื่อตรวจดูเอกสารที่คู่กรณีเสนอพร้อมทั้งการแถลงด้วยวาจาของผู้แทนรัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลไทยแล้ว ศาลได้พิจารณาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงต่างๆ และแถลงการณ์ ประกอบกันแล้ว พร้อมทั้งดุลพินิจของตุลาการเสียงส่วนมาก ศาลโลกน่าจะพิพากษาดังนี้

ข้อ 1 ปราสาทพระวิหาร เป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศกัมพูชา ยืนยันตามคำพิพากษาเดิมวันที่ 15 มิถุนายน 2505 และสนับสนุนจากแถลงการณ์ร่วม Joint Conmunique ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ข้อ 1 ที่รัฐบาลทั้งสองยื่นต่อ UNESCO ผู้มีกรรมสิทธิ์จึงมีสิทธ์ยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกได้ โดยฝ่ายไทยเป็นผู้สนับสนุน แถลงการณ์ร่วม Joint Conmunique ระหว่างกัมพูชาและไทยถือว่าเป็นสนธิสัญญา (Treaty) มีลักษณะเป็นข้อตกลงของสองประเทศ (Bilateral Agreement) หมายถึงข้อตกลงระหว่างประเทศมีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดสิทธิ (Rights) และหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตาม (Obligations) หรือสร้างความสัมพันธ์ตามบทบัญญัติของกฎหมายระหว่างประเทศ (Law Among Nations. 1965, p.422)

ข้อ 2 การที่รัฐบาลกัมพูชายื่นขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในวันที่ 8 มกราคม 2548 ฝ่ายเดียวและรัฐบาลไทยให้สัตยาบันโดยคำแถลงการณ์ร่วม Joint Conmunique ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ต้องถือว่าประเทศไทยสละสิทธิ์ในการคัดค้านคำพิพากษาของศาลโลกที่ได้ยื่นไว้ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2505 โดยสิ้นเชิง

ถึงแม้รัฐบาล ฯพณฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะได้ยื่นคัดค้านการให้สัตยาบันแถลงการณ์ร่วมที่เสนอโดยรัฐบาล ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช ก็ไม่สามารถจะฟังขึ้นเพราะได้ยื่นภายหลังหมดเส้นตายที่ UNESCO ว่าหมดไว้ แม้จะอ้างว่าศาลไทยตัดสินว่าการลงนามของดร.นพดล ปัทมะ ขัดต่อมาตรา 190 แห่งรัฐธรรมนูญไทย 2550 ก็เป็นเรื่องภายในประเทศ

ข้อ 3 ในแถลงการณ์ร่วมระหว่างกัมพูชากับไทย วันที่ 18 มิถุนายน 2551 คู่กรณียอมรับการแบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วน

3.1. เขตพื้นที่หลักแดนกรรมสิทธิ์ (Core Zone)

3.2. เขตล้อมรอบพระวิหาร (Surrounding areas)

3.3 .เขตแนวกันชน (Buffer Zone) และ

3.4. เขตพื้นที่พัฒนา (Development Zone)

ศาลโลกเคยให้คู่กรณีได้ไปตกลงกันบริเวณที่ชิดติดกัน (vicinity) กับพระวิหารแต่คู่กรณีไม่สามารถตกลงกันได้ แต่พออนุมานได้ว่าพื้นที่ล้อมรอบพระวิหาร (Surrounding areas) ทั้ง 4 ด้าน มีนัยเป็นเขตชิดติดกัน (vicinity) กับปราสาทพระวิหารได้

เมื่อแถลงการณ์ร่วมมีลักษณะเป็นการแสดงออกถึงมิตรภาพที่ดีต่อกันของคู่กรณี ศาลจึงสั่งให้คณะกรรมการปักปันเขตแดนกัมพูชาและไทยไปกำหนดกันเอง หากไม่สามารถทำได้ก็ให้สมาคมอาเซียนช่วยดำเนินการ หากทั้งสององค์กรไม่สามารถดำเนินการได้ คู่กรณีมีสิทธิ์จะยื่น คำร้องต่อองค์การสหประชาชาติต่อไปได้

ทั้งนี้ ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่ศาลมีคำสั่ง

ข้อ 4 พื้นที่แนวกันชน (Buffer Zone) ตามข้อ 3.3 ศาลเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีพื้นที่ดังกล่าวซึ่งอยู่ในดินแดนของกัมพูชาเองแล้ว ยิ่งเป็นหน้าผาชัน ทางด้านใต้ เหนือและตะวันตกของปราสาท และเป็นพื้นที่ติดกับพื้นที่พัฒนาร่วมกัน (Development Zone) แม้ส่วนหนึ่งล้ำเข้ามาในอาณาเขตของประเทศไทยประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร ตามที่ประเทศไทยอ้าง

ข้อ 5 พื้นที่พัฒนา (Development Zone) ตามแถลงการณ์ร่วมข้อ 4 คู่กรณีคือกัมพูชาและประเทศไทยยื่นต่อศาล เมื่อกรรมการร่วมปักปันเขตแดนเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะต้องจัดทำแผนการจัดการทะนุบำรุงและอนุรักษ์ปราสาทพระวิหารและพื้นที่ต่างๆ ดังกล่าวมา พื้นที่พัฒนาจึงเป็นพื้นที่หารายได้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทะนุบำรุงและอนุรักษ์ปราสาทพระวิหารให้คงทนถาวรสืบไป

ศาลจึงกำหนดพื้นที่พัฒนาที่กัมพูชาเสนอตามแผนที่เป็นพื้นที่อยู่ในประเทศกัมพูชาประมาณว่า 50 ตารางกิโลเมตรแต่ทางรัฐบาลไทยคัดค้านไว้ประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร เป็นของประเทศไทยและพื้นที่ที่ประเทศไทยล้อมรั้วไว้ 4.6 ตารางกิโลเมตรรวมอยู่ในพื้นที่ที่ศาลโลกกำหนดเป็นดินแดนของไทย ที่ถือว่าเป็นพื้นที่ปลอดทหาร (Demilitarized Zone) ประมาณ 17.3 ตารางกิโลเมตร ให้ถือว่าเป็นพื้นที่เขตพัฒนา

พื้นที่ประมาณ 50 ตารางกิโลเมตรเป็นเขตแดนของกัมพูชาและกัมพูชามีอธิปไตยเหมือนดินแดนดังกล่าว และพื้นที่ 17.3 ตารางกิโลเมตรรวมกับพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิที่กัมพูชาระบุไว้ในแผนที่เขตพัฒนาประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร รวมเป็นพื้นที่ประมาณ 20.3 ตารางกิโลเมตร ถือว่าเป็นเขตแดนของประเทศไทยและประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าว ตามที่ระบุไว้ในแถลงการณ์ร่วมข้อ 5 กำหนดว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารไว้ในบัญชีมรดกโลกครั้งนี้ จะไม่ทำให้เสื่อมเสียสิทธิ์ของราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย ในการกำหนดปักปันเขตแดนของคณะกรรมการร่วมเพื่อการปักปันเขตแดนทางบก (JBC) ของประเทศทั้งสอง

เมื่อกัมพูชาและประเทศไทยทำข้อตกลงตามแถลงการณ์ร่วม 6 ข้อในวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ให้ถือว่าประเทศทั้งสองยินยอมให้เป็นเขตพัฒนา มีเนื้อที่ประมาณ 70 ตารางกิโลเมตรเศษเป็นพื้นที่ภาระจำยอม (Servitude) ที่อนุญาตให้ชาวโลกได้มีโอกาสใช้และเยี่ยมชมปราสาทพระวิหาร ให้คณะกรรมการร่วมของสองประเทศดำเนินการ กำหนดแผนการจัดการ คณะกรรมการบริหารงานการพัฒนา กำหนดงบประมาณ แบ่งปันจัดสรรประโยชน์เพื่อทะนุบำรุงและอนุรักษ์ปราสาทพระวิหารให้มั่นคงถาวรสืบไป และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ศาลตัดสิน

ทั้งนี้ ให้กัมพูชาและประเทศไทยดำเนินการสร้างความเข้าใจให้ประชาชนของตนได้เข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่เขตพัฒนาตกอยู่ในภาระจำยอม เพื่อผลประโยชน์ และความสัมพันธ์ที่ดีของสองประเทศสืบไป