การเมืองเรื่องวงศ์ตระกูล

ไทยเราได้แชมป์อีกหนึ่งเรื่องแล้วครับ ส่วนควรจะภูมิใจหรือไม่ ต้องคิดหนักๆ หน่อย
เพิ่งเป็นข่าวว่าผลวิจัยของนักวิชาการสถาบันพระปกเกล้าฯ คุณสติธร ธนานิธิโชติ พบว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนตระกูลการเมืองสูงกว่าประเทศอื่นๆ เช่น เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น (ซึ่งได้ชื่อว่ามีคนตระกูลเดียวกันเล่นการเมืองเหมือนกันสูงสุดของโลก) จนได้ชื่อว่าเราสูงที่สุดในโลก!
งานวิจัยชิ้นนี้บอกว่า หากเปรียบเทียบ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ที่มีคนในตระกูลเดียวกัน เคยเป็น ส.ส.มาก่อน และเปรียบกับประเทศอื่นจะพบว่า
ประเทศไทยมีสัดส่วนมากที่สุดถึง 42%
ตามมาด้วย เม็กซิโก 40% ฟิลิปปินส์ 37% ญี่ปุ่น 33% อาร์เจนตินา 10% และ อเมริกา 6%
แยกเป็นรายพรรค พบว่า พรรคเพื่อไทย มีตระกูลการเมืองได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด คือ 19 ตระกูล รองลงมา พรรคประชาธิปัตย์ 17 ตระกูล พรรคภูมิใจไทย 4 ตระกูล พรรคชาติไทยพัฒนา 3 ตระกูล พรรคพลังชล 1 ตระกูล และ พรรครักประเทศไทย 1 ตระกูล
งานวิจัยนี้พบด้วยว่านักการเมืองที่มีสายสัมพันธ์แบบตระกูล ที่เคยเป็นนักธุรกิจมาก่อน น่าจะมีสัดส่วนสูงกว่านักการเมืองที่ไม่มีสายสัมพันธ์แบบตระกูล เพราะนักการเมืองที่มีสายสัมพันธ์แบบตระกูล สามารถอาศัยความได้เปรียบต่างๆ เป็นสะพานเชื่อมได้ทันที
รายงานผลการวิจัยบอกว่าสิ่งที่ต้องติดตาม คือส ายสัมพันธ์ระหว่างตระกูล อาจส่งผลกระทบต่อนโยบายที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริง
ปรากฏการณ์ “วงศ์ตระกูลในวงการการเมือง” ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ได้มีแต่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เมื่อเรากลายเป็นเบอร์หนึ่งของจำนวนตระกูลที่เข้ามาเล่นการเมือง ก็น่าจะเป็นประเด็นของการวิเคราะห์ที่น่าสนใจว่าดีหรือไม่ดี เป็นประโยชน์หรือโทษต่อการสร้างระบอบประชาธิปไตย ที่เราต่างก็ใฝ่หาเรียกร้องกันอย่างคึกคัก?
คำถามที่สำคัญข้อแรก คงจะอยู่ที่ว่าคนในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เข้ามาอาสาทำงานเพื่อสาธารณะนั้นมีจุดประสงค์อันใด?
คำถามต่อมา คือ สมาชิกในตระกูลเดียวกัน ที่เข้ามาทำงานในวงการการเมืองมากกว่าหนึ่งคนนั้น เข้ามาเพราะว่ามีความรู้ความสามารถและมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างเสียสละเพื่อสังคมจริงหรือไม่?
หรือมีข้อสงสัยบางกรณี ว่าที่คนในตระกูลเดียวกันเข้ามาในงานการเมือง เป็นเพราะการช่วยเหลือเกื้อกูลของสมาชิกครอบครัวเดียวกัน ที่มีตำแหน่งฐานะในแวดวงนี้อยู่แล้ว
หากเป็นเช่นนั้น ย่อมจะทำให้เกิด “ความไม่เสมอภาค” ในการแข่งขัน และอาสามาทำหน้าที่ให้กับสาธารณชน
และหากมีกรณีเช่นนี้จริง ก็จะทำให้คนอื่นๆ ที่มีความรู้ ความสามารถ และความมุ่งมั่น ที่จะทำงานสาธารณะ ไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาในสนามการแข่งขันทางการเมืองได้ เพราะว่าสนามแห่งนี้จะ “ไม่ราบเรียบเท่าเทียมกัน” อย่างที่ควรจะเป็นต่อไป
ที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ ว่า คนนั้นคนนี้อยากจะเป็นรัฐมนตรี วิ่งเต้นทุกวิถีทางที่จะมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีสักครั้งในชีวิตนั้น ก็เพื่อ “ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล”
ค่านิยมเช่นนี้แหละ ที่เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องการจะเห็นคนอาสาเข้ามาทำงาน โดยไม่ได้หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับตนเองหรือคนในตระกูลของตน หากแต่ต้องการจะทำงานให้คนอื่น ไม่ได้เพื่อให้คนในครอบครัวตัวเองได้ชื่อเสียงหรือผลประโยชน์อื่นใดทั้งสิ้น
ผลการวิจัยครั้งนี้ ควรจะทำให้เกิดความตื่นตัวในแวดวงการเมืองและประชาชนโดยทั่วไป ว่า การที่มีตระกูลเข้ามาเล่นการเมืองมากที่สุดในโลกนั้น เป็นบวกหรือลบ เป็นแนวโน้มที่ควรส่งเสริมหรือปฏิเสธ
เพราะหากว่ามองในแง่ที่ดี คนในตระกูลที่มุ่งมั่นทำความดีก็ย่อมจะอาสาเข้ามาทำงานมากเป็นพิเศษ แต่ขณะเดียวกันประสบการณ์คนไทยเรื่องนี้ในส่วนที่เป็นทางลบก็มีไม่น้อย เช่น เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน การเป็นเพียง “ร่างทรง” ของญาติตนเอง หรือไม่ก็หมายถึงการฮุบเอาอำนาจทางการเมืองในระดับต่างๆ มาเป็นของคนกลุ่มเดียวกัน
คำว่า “สภาผัวเมีย” บาดใจคนไทยหลายคน คำว่า money politics กับ family politics ก็จะถูกวางเรียงอยู่ข้างๆ คำว่า cronyism และ political dynasties อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งแน่นอนว่า เป็นรอยด่างของชื่อเสียงประเทศชาติ และบั่นทอนการสร้างโอกาสแห่งการเท่าเทียมของคนทั่วไปในสังคมไทย...อีกด้วย
เพราะว่า เมื่อมี “การเมืองเรื่องครอบครัว” เข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ สิ่งที่เรียกว่า “การตรวจสอบ” และ “ถ่วงดุลอำนาจ” ก็จะโบยบินออกไปทางหน้าต่าง...ทันที







