Invisible Support

Invisible Support

ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งในบทเรียนที่ชี้ให้เห็นทักษะขั้นเทพของหัวหน้าจะมาจากเรื่อง Hormones วัยว้าวุ่น ซีรี่ยส์ดังฝีมือกำกับของพี่ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์

Invisible Support แปลว่า การให้ความช่วยเหลือโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ ตามนิยามของ Dr. Kevin Ochsner ศาสตราจารย้ด้าน Neuroscience ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา

‘ของขวัญ’ หนีออกจากบ้านเพราะเพิ่งรู้ว่าเธอเป็นลูกของภรรยาคนที่สองของพ่อ เด็กที่เป็นนักเรียนเกรดเอ มั่นใจว่าตนเองคิดถูกทำถูกมาโดยตลอดรับไม่ได้เมื่อชีวิตสีชมพูของเธอต้องมาพบกับความไม่ สมบูรณ์ และเพื่อนที่เธอหนีไปหาก็คือ ‘สไปรท์’ เด็กเกรดซีที่มีชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียงแถมครอบครัวก็แตกแยก

ของขวัญ: “เราไม่เข้าใจ ทำไมไม่มีใครบอกเรา ทุกคนทำเหมือนเราเป็นเด็ก แล้วถ้าพ่อไม่เลือกก็ไม่มีบ้านไหนสมบูรณ์สักบ้านอ่ะ...”

สไปรท์: “แต่แกก็ไม่เคยรู้สึกขาดไม่ใช่เหรอ... เรื่องบ้านชั้นน่ะ แม่ชั้นเป็นคนเลิกกับพ่อเอง พ่อชั้นติดการพนันมาก ตอนแรกแม่ก็ทน เพราะพ่อสัญญาว่าจะเลิกหลังมีลูก แต่พ่อก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ชั้นว่าแม่ชั้นทำถูกนะ แม่ชั้นน่ะเก่งมากเลย แล้วถึงชั้นจะไม่มีพ่อ แต่ชั้นก็ไม่เคยรู้สึกขาดเลย”

ของขวัญ: “...(เงียบไปอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจกลับบ้านเช้าวันรุ่งขึ้น)....”

งานวิจัยของ Dr. Ochsner บอกว่า สมองลูกน้อง ‘รู้สึกดี’ เมื่อรู้ว่ามีหัวหน้าคอยช่วยเหลืออยู่หากเกิดอะไรขึ้น แต่กลับ ‘รู้สึกแย่’ ถ้าหัวหน้ายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำจริงๆ ประหลาดดี แต่นี่คือความมหัศจรรย์ของสิ่งเล็กๆในกะโหลกของมนุษย์ที่เรียกว่าสมอง

เพราะอะไรน่ะหรือ? สมองของเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า Status หรือสถานะ โดยมันจะวัดตนเองกับผู้อื่นรอบตัวอยู่เสมอว่าใครสูงกว่าใคร KPI ของสมองคือการเอาตัวให้รอด เวลาที่เราถูก (และผู้อื่นผิด) แปลว่าหากคนอื่นเห็นด้วยกับเราหรือทำตามสิ่งที่เราบอก สมองรู้สึกยินดีเพราะสถานะเราสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม เวลาคนอื่นถูก (แปลว่าเราผิด) หรือสั่งให้เราทำตามสิ่งที่เขาบอกเราจะรู้สึกแย่ เพราะสำหรับสมองสถานะเราลดลง

หากสไปรท์พูดว่า “ของขวัญแกอย่าคิดมากเลย ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ กังวลเรื่องเหลวไหลไปได้ พ่อเค้าบอกแกหรือเปล่าชีวิตแกก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ใช้เหตุผลหน่อยอย่าใช้อารมณ์” คุณผู้อ่านคิดว่าสมองที่ถูกกด Status ของของขวัญจะว่าอย่างไรครับ? อาจเป็นประมาณนี้ “อย่างกับชีวิตแกสมบูรณ์นักเนี่ยะ บ้านแกก็ใช่จะดีกว่าชั้น แล้วแกเป็นใครมาให้คำแนะนำ... ถ้าพี่คิดได้คิดถูกพี่ก็คงไม่ติดแหง็กเป็นแค่หัวหน้ากองมาเป็นสิบปีหรอก พี่รู้มั้ยว่าโลกเค้าไปถึงไหนกันแล้วยังจะมายกตัวอย่างสมัยโบราณอยู่ได้ เก่งนักก็ทำเองละกัน อีกไม่พ้นปีนี่หนูก็ไปแล้ว” (ประโยคหลังๆนี่ชักไม่เกี่ยวกับซีรี่ยส์แล้วนะครับ หุๆ)

เมื่อสมองลูกน้องไม่ชอบรู้สึกว่าตนเองผิด เวลาหัวหน้าให้คำแนะนำปากเขาบอกว่าเห็นด้วยแต่ใจอาจไม่คิดอย่างนั้น พี่จะเอายังไงก็บอกมาละกัน หัวหน้าที่ปากเปียกปากแฉะหลายคนจึงดูเหมือนทำงานให้ลูกน้องแทนที่ลูกน้องจะทำงานให้ หัวหน้า ยิ่งไปกว่านั้น สมองของหัวหน้าเองก็ชอบรู้สึกว่าตนเองถูก มันจึงรู้สึกดีกับการ ‘บอก’ ลูกน้องให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการ และเมื่อบอกแล้วลูกน้อง ‘ต้องทำตาม’ สมองหัวหน้าก็ยิ่งมีความสุข กว่าจะรู้พฤติกรรมช่างบอกนี้ก็กลายเป็นยาเสพติดแก้ไม่หาย

Invisible Support คือกลยุทธ์ยิงสองโจทย์ในนัดเดียว สิ่งที่สไปรท์ทำคือการให้ความเห็นใจและการให้คำตอบโดยที่ของขวัญไม่รู้ตัว สำหรับผู้นำ Dr. Ochsner แนะนำขั้นตอนง่ายๆคือ 1) Express empathy กับลูกน้อง เช่น “มันยากใช่มั้ย พี่ก็รู้ว่ามันยากถึงได้ไว้ใจให้เธอทำ” และ 2) Lower your status เช่น “รู้มั้ยว่านี่เธอทำได้ดีมากแล้วนะ สมัยก่อนพี่เจองานแบบเดียวกับเธอเนี่ยไปไม่เป็นเลย เด็กสมัยนี้เก่งนะมีตัวช่วยเยอะ ตอนนั้นกว่าพี่จะหาทางออกได้งมอยู่เป็นนาน” หลังจากนั้นก็กลั้นใจรอ เพราะสิ่งที่หัวหน้ามองหาจากลูกน้องคือประโยคประมาณนี้ “จริงเหรอคะ แล้วพี่ทำยังไงตอนนั้นถึงได้ผ่านมาได้?” Invisible Support คือลูกน้องกำลังให้โอกาสเราบอกความคิดของเราโดยเขาไม่รู้สึกว่ากำลังถูกบอก หากเขาเป็นผู้ถามสมองเจ้าตัวจะเปิดรับความคิดของเราโดยไม่รู้สึกต่อต้าน

Susan Cain ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Quiet: The Power of Introverts แปลกันตรงๆง่ายๆว่า พลังของผู้นำที่สุขุมไม่พูดมาก บอกคล้ายกันว่าผู้นำที่ฟังมากกว่าพูดเป็นผู้นำที่สร้างทีมที่ประสบความสำเร็จมากกว่าผู้นำที่ โผงผางและช่างพูด (Extroverts) เพราะความเงียบเป็นการสร้าง Invisible Support ทำให้ลูกน้องทำงานได้อย่างเต็มที่และสามารถใช้ศักยภาพของทีมได้ดีกว่าผู้นำที่ “อะไรๆก็ต้องพี่”

ก่อนจบต้องเรียนคุณผู้อ่านว่า Invisible Support นี้มักใช้ได้ดีกับลูกน้องที่ ‘มีหัวคิด’ นะครับ เช่นเจน X ที่ยังไฟแรงหรือเจน Y ที่ชอบมีไอเดียบรรเจิด แต่กับลูกน้องที่คิดไม่เป็นทำตามสั่งได้อย่างเดียวมักไม่ค่อยได้ผล อ้าว... แล้วถ้าพี่มีแต่ลูกน้องที่คิดเองไม่เป็นล่ะ ควรทำอย่างไร? คำถามนี้ตอบง่ายครับ...

“พี่ก็ทำเองต่อไปละกัน”