พลวัตเศรษฐกิจกับข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

พลวัตเศรษฐกิจไทยและโลกเวลานี้มีความผันผวนมาก หน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจและสำนักวิจัยทางเศรษฐกิจต่างปรับประมาณการตัวเลขกันใหม่
และ ความถี่ในการปรับประมาณการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพราะแบบจำลองหรือโมเดลทางเศรษฐกิจล้มเหลวในการคาดการณ์ หรือ การทำนายภาวะเศรษฐกิจโดยเครื่องมืออย่างเศรษฐมิติไม่มีประสิทธิภาพ หากเป็นเพราะความผันผวนของระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ไร้พรมแดนถี่กระชั้นและมีความไม่แน่นอนสูงยิ่ง
เมื่อเร็วๆ นี้ ทางฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ ม. รังสิต และ คณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิตรวมทั้งกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติสาขาเศรษฐศาสตร์และอีกหลายสถาบัน ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาทางวิชาการ “การปฏิรูปและการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจในระยะเปลี่ยนผ่าน” มีนักเศรษฐศาสตร์ ท่านอดีตผู้ว่าธนาคารชาติ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ท่านอดีตรองนายกรัฐมนตรี ดร. โอฬาร ไชยประวัติ รวมทั้ง ศ. ดร. เทียนฉาย กีรนันท์ ประธานสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ ต่างเสนอความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการเตรียมความพร้อมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ในส่วนของผมเอง ได้นำเสนอไปหลายประเด็นด้วยกัน และผมมีความเห็นในเบื้องต้นว่าเราต้องมีการปฏิรูปและการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจในระยะเปลี่ยนผ่านอย่างน้อย 8 ข้อและจะนำข้อเสนอเหล่านี้ต่อสภาปฏิรูปของรัฐบาลต่อไป รัฐบาลจะทำหรือไม่ทำถือเป็นการตัดสินใจทางการเมือง การปฏิรูปต้องทำทั้งการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและลดปัญหาการกระจายความมั่งคั่งและรายได้ที่ไม่เป็นธรรมด้วยการปฏิรูประบบภาษีและรายได้ภาครัฐ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการลงทุนทางด้านทรัพยากรมนุษย์ การปฏิรูปที่ดินและการถือครองที่ดิน การปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม การปฏิรูปภาคเกษตรกรรม การปรับโครงสร้างประชากร การปรับโครงสร้างภาคการผลิต การปฏิรูปและปรับโครงสร้างงบประมาณ การปรับยุทธศาสตร์เน้น “คุณภาพชีวิต” และการพัฒนาแบบยั่งยืน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. การปฏิรูประบบภาษี จึงต้องปฏิรูปทั้งโครงสร้างภาษี อัตราภาษี ฐานภาษี ใช้เครื่องมือภาษีในการจัดการทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองให้ดีขึ้น มาตรการภาษีสามารถจัดการทางด้านเศรษฐกิจ ได้ทั้งในมิติด้านการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (ลดภาษีการลงทุน การบริโภคหรือกิจกรรมการผลิต) การกระจายความมั่งคั่ง (เพิ่มภาษีทรัพย์สินและภาษีมรดก) สนับสนุนความสามารถในการแข่งขัน (ลดภาษีให้กับวัตถุดิบหรือปัจจัยการผลิตบางประเภท) กระตุ้นให้เกิดการลงทุนทางด้าน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุน) และ ยังช่วยในการจัดการทางด้านสังคม (ภาษีบาปควบคุมกิจกรรมอบายมุข) และ ปัญหาสิ่งแวดล้อม (เก็บภาษีมลพิษต่างๆ) รวมทั้ง การเสริมสร้างให้ระบอบประชาธิปไตยเข้มแข็ง ด้วยการทำให้พรรคการเมืองและสถาบันทางการเมืองเป็นของมหาชนมากขึ้นผ่านการบริจาคภาษีหรือบริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมืองแล้วสามารถนำไป
ลดหย่อนภาษีได้ รัฐต้องเก็บภาษีที่มีลักษณะก้าวหน้ามากขึ้นและขยายฐานภาษีให้ใหญ่ขึ้นโดยเฉพาะภาษีทรัพย์สิน ควรผลักดันตัวเลขรายได้ภาครัฐให้ขึ้นไปอยู่สักระดับประมาณ 20% ของจีดีพี สถานะทางคลังจึงมั่นคงมีเสถียรภาพ และ ไม่กระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
การปรับโครงสร้างภาษีเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การผลักดันภาษี ภาษีทรัพย์สินอันเป็นการเก็บภาษีจากฐานทรัพย์สินจะช่วยรัฐลดการพึ่งพึงภาษีที่เก็บจากฐานรายได้ สิ่งที่จะลดความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจในสังคมได้
2. เร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจตามโครงการ 2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โดยยึดหลักความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการดำเนินการ และการลงทุนทางด้านทรัพยากรมนุษย์ด้วยการปฏิรูประบบการศึกษาและระบบบริการสาธารณสุขให้ทั่วถึงและมีคุณภาพ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการให้บริการได้อย่างมีคุณภาพและทั่วถึง
3. ผลักดันให้มีการปฏิรูปที่ดินและกระจายการถือครองที่ดิน และ ปัจจัยการผลิต
4. การปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมโดยใช้กลไกรัฐสวัสดิการร่วมกับสังคมสวัสดิการโดยลดมาตรการหรือนโยบายประชานิยมลง
5. การปฏิรูปภาคเกษตรกรรมให้มีผลผลิตต่อพื้นที่สูงขึ้น ลดต้นทุน เพิ่มอำนาจต่อรองให้เกษตรกรผ่านขบวนการสหกรณ์ ทยอยลดมาตรการแทรกแซงราคาหรือพยุงราคาที่ฝืนกลไกตลาดมากเกินไป เพิ่มความสมดุลของภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมในระบบเศรษฐกิจไทย
6. ปรับโครงสร้างประชากรโดยเพิ่มอัตราการเกิดของประชากรเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา อัตราการพึ่งพิงสูง ในอนาคต และ เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็วเกินไป
7. ปรับโครงสร้างการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีและลดการใช้พลังงาน
8. พัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้ “คุณภาพชีวิต” เป็นเป้าหมายของการพัฒนา พัฒนาแบบยั่งยืนโดยการดูแล สิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม
นอกจากนี้ ต้องมีการวางยุทธศาสตร์และเป้าหมายเพื่อให้ “ไทย” ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจอาเซียนและสามารถใช้โอกาสความรุ่งเรืองของเอเชียตะวันออก หรือ ศตวรรษแห่งเอเชีย เพื่อยกระดับฐานะของไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้วภายใน 15 - 20 ปีข้างหน้า
นโยบายสาธารณะทางด้านประชากรต้องสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในอนาคตได้อย่างเหมาะสม โดย ดร. เทอดศักดิ์ ชมโต๊ะสุวรรณ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์
ม. รังสิต ได้ให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ เนื่องจากประชากรในแต่ละวัยหรือแต่ละช่วงอายุมีพฤติกรรมการบริโภคและรูปแบบรายรับรายจ่ายที่แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อจำนวนและสัดส่วนประชากรในแต่ละช่วงอายุเปลี่ยนแปลงไปย่อมส่งผลให้ปริมาณอุปสงค์รวมของสินค้าและบริการแต่ละประเภทของทั้งประเทศเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ซึ่งนั่นก็หมายถึงโครงสร้างเศรษฐกิจหรืออุปทานการผลิตสินค้าและบริการแต่ละประเภทต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
สังคมไทยได้เป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ซึ่งมีสัดส่วนผู้สูงอายุผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป มากถึงร้อยละ 10 แล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 แล้ว และกำลังก้าวไปสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มขั้น (Aged Society) ซึ่งมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากถึงร้อยละ 20 ภายในปี พ.ศ. 2567 หรือ ในอีก 10 ปีข้างหน้า อีกด้วย
ส่วน ดร. ธันย์พัทธ์ ใคร้วานิช มองว่า ระบบทุนนิยมไทยมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ของความยากจนอัตคัดขาดแคลนของคนส่วนใหญ่ ทั้งระหว่างประเทศในประเทศ และกลุ่มคนในสังคม มีปัญหาความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศและการผูกขาดในระบบเศรษฐกิจ
ล่าสุด ทางคณะเศรษฐศาสตร์และศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป ได้มีการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจโลกและไทยปี 2556 ใหม่ หลังจากตัวแปรปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปจากที่คาดการณ์ไว้เดิม ประเทศดาวรุ่งทางเศรษฐกิจอย่างจีน อินเดีย บราซิลและอาเซียนมีอัตราการเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ค่อนข้างมาก บางประเทศเช่นอินเดียและอินโดนีเซียประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ค่าเงินผันผวนและอ่อนค่าลงอย่างมาก ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น กระแสเงินไหลเข้าเอเชียช่วงครึ่งปีแรกเริ่มทยอยไหลออกกลับไปสหรัฐอเมริกาหลังจากสัญญาณกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเริ่มปรับตัวสูงขึ้น เศรษฐกิจยูโรโซนพ้นจากภาวะถดถอยแต่เศรษฐกิจบางประเทศยังหดตัว โดยเศรษฐกิจขยายตัวติดลบประมาณ -0.6% เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวได้ประมาณ 1.7 % และเศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตที่ระดับ 2.0%
ความผันผวนของตลาดการเงินโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งน้ำมันและทองคำมีความผันผวนมากขึ้นและมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นจากความวิตกกังวลเรื่องสงครามซีเรียและความไม่สงบในอียิปต์ ด้วยสภาวะดังกล่าวอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐไม่พร้อมในการปรับลดขนาด QE3 ในทันที นักลงทุนและตลาดการเงินต่างรอดูผลการประชุมของเฟดในวันที่ 17-18 ก.ย. ศกนี้
ผมมองว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. 2556 ลดลงมาที่ระดับ (3.7-4.2%) โดยคาดว่าไตรมาสสามจะขยายตัวได้ที่ระดับ 3.5% และ ไตรมาสสี่เติบโตได้ที่ระดับ 4.3% เศรษฐกิจไทยขยายตัวลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมเนื่องจากมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ภาคส่งออกหดตัว ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวตาม ภาคส่งออกโดยเฉพาะในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องหนัง น้ำมันปิโตรเลียม เครื่องใช้ไฟฟ้าและอาหาร ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคเกษตรขยายตัวเป็นบวกเล็กน้อยเท่านั้น ภาคการบริโภคชะลอตัวลงจากการหดตัวของการบริโภคสินค้าคงทน หนี้ครัวเรือนปรับตัวสูงขึ้นและความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง ตัวบ่งชี้สำคัญคือภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัวติดลบในช่วงไตรมาสสอง การลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอตัวลงแต่คาดว่าจะกระเตื้องขึ้นในไตรมาสสี่ สัญญาณชะลอปรากฏในหมวดก่อสร้างและธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์อันเป็นผลจากการชะลอเปิดโครงการใหม่และธนาคารเข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ การลงทุนภาครัฐยังเติบโตต่อเนื่องแต่ขยายไม่มากพอที่จะชดเชยการหดตัวของภาคส่งออกและการชะลอตัวของภาคบริโภคและการลงทุนเอกชน การใช้จ่ายเพื่อลงทุนโครงการขนาดใหญ่ยังติดข้อจำกัดทางกลไกทางกฎหมายและความล่าช้าของระบบราชการ ภาคท่องเที่ยวขยายตัวดีอย่างต่อเนื่องแต่รายได้จากภาคท่องเที่ยวไม่สามารถชดเชยรายได้ภาคส่งออกที่ลดลงได้ อย่างไรก็ตามหากสงครามในซีเรียยืดเยื้อและขยายวงทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขึ้นไปอยู่เหนือระดับ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (เพิ่มขึ้นมากกว่า 20%) เกินหกเดือนขึ้นไป จะส่งผลต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 1% อัตราการเติบโตของจีดีพีของไทยจะอยู่ที่ระดับ 2.9% เท่านั้นซึ่งเป็นระดับที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะส่งผลต่อฐานะทางการคลังของประเทศอย่างไร ไม่มีผลต่อภาวะการจ้างงานมากนักเพราะไทยยังมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานและอัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
ความวิตกกังวลเรื่องฟองสบู่ลดลงและคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากความร้อนแรงในตลาดหลัก ทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ลดลงอย่างชัดเจน พร้อมกับอุปสงค์ภายในที่ชะลอตัวลงค่อนข้างมาก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 2.8 - 3.2% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน 2.0 - 2.2%
ปัจจัยเสี่ยงเรื่องซีเรียและราคาน้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยช่วงปลาย ปี 2556 ต่อเนื่องจนถึงปีหน้า ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองลดลงหลังจากรัฐบาลประกาศเดินหน้าปฏิรูปการเมืองและดึงทุกฝ่ายเข้าร่วมแสวงหาทางออกจากวิกฤตการณ์ขัดแย้งทางการเมือง
หลายท่านอาจจะวิตกกังวลว่าไทยจะเหมือนอินโดนีเซียหรือไม่ ดร. วรรณกิตติ์ วรรณศิลป์ ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศดาวรุ่ง ที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศ ASEAN ขณะนี้กำลังมีปัญหาในลักษณะที่กล่าวข้างต้น คือการขาดดุลการค้าอย่างมากและต่อเนื่อง (ประมาณเดือนละ 2 billion US$) เงินทุนไหลออกอย่างมากและรวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาเงินรูเปียอ่อนค่าลง 10% ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงขึ้นถึง 8.8% ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อันเป็นผลจากแรงกดดันจากการอ่อนค่าของเงิน และการที่รัฐบาลขึ้นราคาน้ำมัน เนื่องจากไม่มีงบประมาณที่จะอุ้มราคาน้ำมันอีกต่อไป นับได้ว่าขณะนี้ประเทศอินโดนีเซียมีภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางอย่างมาก







