ความวิตกต่อชุมนุมการเมือง สะท้อนปัญหาประชาธิปไตย

การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 4 ส.ค.นี้
โดยยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่าจะยุติอย่างไร แต่การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงในระหว่างวันที่ 1-10 ส.ค.ใน 3 เขตพื้นที่ชั้นในที่คาดว่าจะมีการชุมนุมประท้วงรัฐบาลนั้น แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลก็ประเมินว่าการชุมนุมดังกล่าวจะไม่ยืดเยื้อยาวนาน และเท่าที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลประเมินผู้เข้าร่วมการชุมนุมในครั้งนี้ก็ถือว่ายังไม่น่ากลัวเหมือนการชุมนุมทางการเมืองในครั้งก่อนที่มีผู้ชุมนุมจำนวนมาก ทั้งการชุมนุมของเสื้อเหลืองและเสื้อแดง
แต่การชุมนุมทางการเมืองทุกครั้ง ได้สร้างความวิตกให้กับภาคธุรกิจ แม้ว่าจะมีภาคธุรกิจบางส่วนที่คุ้นเคยกับสถานการณ์การเมืองมานาน อาจจะไม่รู้สึกตกใจอะไรมากนัก ในขณะที่มีบางส่วนที่อาจได้รับผลกระทบโดยตรงหรืออาจเกี่ยวข้องทางอ้อม อย่างเช่น นักลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนที่มักอ่อนไหวต่อประเด็นความวุ่นวายทางการเมือง เกิดความรู้สึกกังวลว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของตัวเอง ซึ่งมักจะออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพยายามไม่ให้สถานการณ์บานปลายจนเกิดความรุนแรงทางการเมือง
ความวิตกว่าการชุมนุมทางการเมือง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหรือภาคธุรกิจนั้น ไม่ใช่เกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผลเสียเลย เพราะในอดีต การชุมนุมในบางครั้งก็เกิดผลกระทบอย่างชัดเจน เมื่อการชุมนุมเริ่มขยายวงกว้างและเกิดความเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจ แต่ความกังวลที่เกิดขึ้นยังชี้ให้เห็นอะไรหลายอย่างในสังคมในเรื่องเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง กล่าวคือ การชุมนุมทางการเมืองของไทยนั้นยากที่จะประเมินสถานการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือจำกัดความเสียหายในระดับใด
การประเมินการชุมนุมทางการเมืองได้ยาก ส่วนหนึ่งมาจากฝ่ายผู้ชุมนุมเองที่เอาแน่นอนไม่ได้ ว่าขอบเขตการเรียกร้องอยู่ตรงจุดใด ในบางกรณี เมื่อข้อเรียกร้องบรรลุตามเป้าหมายตอนแรก แต่ต่อมาก็สามารถขยายข้อเรียกร้องภายหลังจนไม่อาจปฏิบัติได้ อีกส่วนหนึ่ง มาจากฝ่ายผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยคือฝ่ายรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมา ก็ปรากฏให้เห็นมาโดยตลอดว่าแทนที่จะเป็นฝ่ายดูแลฝูงชนให้อยู่ในกรอบกติกา แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่เองกลับเป็นฝ่ายทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น จนกระทั่งไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
ความกังวลในสถานการณ์การเมืองนั้น ยังสะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง คือทั้งฝ่ายชุมนุมและฝ่ายดูแลผู้ชุมนุม ยังไม่มีกรอบกติกาที่ยึดถือร่วมกันว่าการชุมนุมทางการเมืองนั้นสามารถทำได้แค่ไหน ซึ่งที่ผ่านมา มีการพูดถึงกันมากถึงสิทธิการชุมนุมและสิทธิของผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องไม่สามารถประเมินได้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่สิ่งที่ทำได้ คือ การป้องกันตัวเองหรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ส่วนอนาคตเป็นเรื่องของโชคชะตา
เราเห็นว่าตราบใดที่การชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีไหน สร้างความวิตกให้กับคนอื่นในสังคม นั่นแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เป็นการชุมนุมในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งขณะนี้เราพบเห็นกันอยู่เป็นประจำจากคนกลุ่มต่างๆ แม้ว่าผู้ชุมนุมจะอ้างว่าทำได้ตามสิทธิในระบอบประชาธิปไตย หากประเทศเราเป็นประชาธิปไตยจริงตามที่มีคนชอบอ้างกัน เราก็เชื่อว่าความวิตกกังวลผลกระทบจากการเมืองที่ไม่อาจคาดเดาได้นี้จะไม่เกิดขึ้น การจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่นั้นอาจดูได้ง่ายจากการชุมนุมและการดูแลผู้ชุมนุมนี้เอง







