The Road Not Taken ทางเขา ทางเรา

หลายๆ ครั้งที่ดิฉันต้องตัดสินใจอะไรในชีวิตแล้วเกิดความกลัวที่จะตัดสินใจเลือกทางต่างจากคนอื่นหรือต่างจากค่านิยมของสังคมขึ้นมา
ทันใดนั้นบทกวีบทหนึ่งที่เคยถูกบังคับให้อ่านสมัยไปเรียนหนังสือที่สหรัฐอเมริกาปีแรกก็จะผุดขึ้นมาในความคิดทันที บทกวีนี้มีชื่อว่า The Road Not Taken แต่งโดย Robert Frost นักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของอเมริกาซึ่งเขาผู้นี้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติอย่าง Pulitzer Prizes ถึงสี่ครั้งทีเดียว ด้วยความที่ได้อ่านบทกวีนี้ตอนที่ภาษาอังกฤษของดิฉันยังอ่อนปวกเปียกก็เลยไม่ได้ซาบซึ้งอะไรมากนัก แต่เมื่อได้ผ่านประสบการณ์ในชีวิตมากขึ้นๆ ก็กลับไปคิดถึงความหมายของบทกวีนี้อยู่เสมอ ดิฉันจึงขออนุญาตยกบางส่วนของกวีบทนี้มาให้ท่านผู้อ่านได้สัมผัสกัน
Two roads diverged in a yellow wood,
And sorry I could not travel both
And be one traveler, long I stood
And looked down one as far as I could
To where it bent in the undergrowth
…….
Two roads diverged in a wood, and I—
I took the one less traveled by,
And that has made all the difference.
ถ้าจะแปลความหมายตามตัวก็ประมาณว่าเมื่อเขาเดินป่ามาถึงทางสองแพร่ง เขาจำเป็นต้องเลือกเดินทางใดทางหนึ่ง หลังจากพิจารณาแล้ว เขาก็เลือกทางที่ดูเหมือนไม่ค่อยมีคนเลือกเดิน และทางนั้นก็เป็นทางที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง (ต้องขออภัยถ้าดิฉันแปลได้ไม่สละสลวยเท่ากับคำประพันธ์ดั้งเดิม) สำหรับดิฉันความหมายที่แฝงไว้ในบทกวีนี้เป็นบทเรียนเตือนใจในการใช้ชีวิตที่ดี เพราะดิฉันเชื่อเสมอว่าทุกคนสามารถเลือกทางเดินชีวิตได้เอง การที่เลือกทางชีวิตที่คนอื่นเขาไม่เลือกกัน อาจเป็นหนทางที่แตกต่างแต่ก็นำพาเราไปสู่ความสำเร็จได้
บทกวีนี้ตอกย้ำวัฒนธรรมอิสระทางความคิดของคนอเมริกันเป็นอย่างดี เพราะการที่สังคมเปิดโอกาสให้ทุกคนมีอิสระในความคิด อิสระในการตัดสินย่อมส่งผลไปสู่ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่นำพามาซึ่ง innovation หรือนวัตกรรมต่างๆ เราจึงได้เห็นถึงความเป็น entrepreneur หรือผู้บุกเบิกธุรกิจใหม่ๆ จากคนอเมริกันกันนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ตั้งแต่สมัยเรียนที่ Harvard University เขากล้าลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาก่อตั้งบริษัทที่เขาเชื่อว่าจะเปลี่ยนชีวิตคนได้ หรือจะเป็น Larry Page และ Sergey Brin ผู้ก่อตั้ง Google ตั้งแต่เป็นนักเรียนปริญญาเอกที่ Stanford University ด้วยความเชื่อว่า Google จะสามารถเป็นศูนย์รวมข้อมูลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้และจะทำให้เกิดเป็นธุรกิจที่ดีได้ เขาทั้งสองจึงได้ขอพักการเรียนและในที่สุดก็ลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาก่อตั้งบริษัท Google ซึ่งทุกท่านคงทราบถึงความสำเร็จของบริษัทที่มาจากสองนวัตกรรมนี้เป็นอย่างดี
ดิฉันขอเรียนว่าดิฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะรณรงค์ให้ท่านผู้อ่านไปลาออกจากการเรียนหรือไม่สนับสนุนการศึกษาแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ดิฉันต้องการจะสื่อจากตัวอย่างทั้งสองก็คือการที่สังคมสร้างค่านิยมให้คนคิดต่าง เปิดโอกาสให้สมองทำงานด้วยจินตนาการแทนที่จะไปกำหนดว่าทุกคนต้องเดินทางทางเดียวกัน ต้องคิดแบบเดียวกัน ต้องมีความเห็นเหมือนกัน สังคมก็จะสามารถสร้างบุคลากรที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี แต่อีกสิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือว่าทั้งสองตัวอย่างเกิดมาจากการพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยเหตุและผลก่อนที่เขาเหล่านั้นจะตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย อย่างเช่น ก่อนที่ Mark Zuckerberg จะตัดสินใจลาออกจาก Harvard เขาได้ลองทดสอบดูความนิยมของ Facebook ก่อนว่าจะไปเป็นธุรกิจได้ไหม และเมื่อเห็นว่า Facebook ได้รับความนิยมในนักศึกษามหาวิทยาลัยเป็นอย่างดีแล้ว เขาจึงตัดสินใจลาออก ในขณะเดียวกัน Larry Page และ Sergey Brin ได้มีโครงการนำร่องให้นักศึกษา Stanford ลองใช้และได้รับความนิยมจริง จึงได้พักการเรียนไปในที่สุด ถึงแม้เขาทั้งสามจะไม่ได้เดินทางที่คนอื่นมักจะเลือกด้วยการลาออกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก แต่ถนนที่เขาเลือกจากความเชื่อมั่นในมันสมองและความสามารถของตัวเองก็ได้พาเขาไปสู่ความสำเร็จได้เช่นกัน
คำถามที่ดิฉันถามตัวเองหลายๆ ครั้งเมื่อต้องตัดสินใจทำอะไรที่อาจจะไม่ค่อยมีคนอื่นทำคือ “เราจะทำได้หรือ?” ท่านผู้อ่านคงรู้สึกได้ถึงความกลัวที่เคลือบแฝงภายในคำถามนี้ แต่คำตอบที่ดิฉันมักจะตอบตัวเองเสมอเมื่อตัดสินใจจะทำลงไปก็คือ “ต้องได้ ต้องสู้ และต้องสำเร็จ” มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Purdue ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ไปสำรวจ entrepreneur พบว่ามีถึง 81% จาก entrepreneur 2994 คนที่เชื่อว่าโอกาสที่ธุรกิจของเขาจะประสบความสำเร็จมีสูงถึง 70% และผลจากงานวิจัยนี้ยังพบอีกว่ากลุ่มที่มีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จมากกว่ากลุ่มอื่นนั้นมักจะเป็นคนที่คิดบวก (Entrepreneurs' perceived chances for success โดย Arnold C. Cooper และ Carolyn Y. WooJournal of Business Venturing1988, Vol3) ผลการวิจัยนี้ย่อมตอกย้ำว่าเมื่อคุณได้ตัดสินใจจะทำอะไรแล้วจงเชื่อมั่นในการตัดสินใจของคุณว่าจะพาไปสู่ความสำเร็จให้จงได้
ในชีวิตจริงหลายๆ ท่านอาจเคยถูกสบประมาทว่าทางเลือกของท่านไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จได้ ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่เคยมีประสบการณ์เช่นนั้นและก็เข้าใจดีว่าคำสบประมาทและคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นบั่นทอนกำลังใจเราเช่นไร แต่ดิฉันไม่อยากให้สิ่งเหล่านั้นมาทำให้เราเปลี่ยนทางเดินชีวิต เพราะถ้าเราเชื่อมั่นในการตัดสินของเราอย่างมีเหตุมีผลว่าสิ่งที่เราตัดสินใจทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเราเชื่อว่าเราจะทำให้สำเร็จได้ เราก็ไม่ควรให้เสียงผู้อื่นดังกว่าเสียงหัวใจของเราเอง เราอาจใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่าเราก็ทำได้ แต่มันจะเป็นชีวิตที่คุ้มค่าที่เราได้ใช้มันนะคะ เพราะฉะนั้นอย่าได้กลัวที่จะเลือกทางที่คนอื่นไม่เดินกัน อย่าได้เกรงที่จะไม่เลือกทางที่คนอื่นกำหนดให้คุณเดิน แต่จงเลือกทางที่คุณเชื่อว่าคุณจะค้นพบความสุขโดยยังคงซึ่งคุณงามความดีของคุณไว้ เพราะชีวิตคุณ…..คุณกำหนดเอง







