ความเคลือบแคลงเทคนิคบินเจาะเพดานฟ้าระบายฝุ่น ที่รัฐบาลควรทำให้กระจ่าง

กรมฝนหลวงใช้เทคนิค "เจาะเพดานอากาศ" เพื่อระบายฝุ่น PM2.5 แต่ประสิทธิผลยังเป็นที่น่ากังขา ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสงสัยในหลักการ รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการประเมินผล
KEY
POINTS
- กรมฝนหลวงและการบินเกษตรใช้เทคนิค "เจาะเพดานอากาศ" เพื่อระบายฝุ่น PM2.5 แต่ประสิทธิผลยังเป็นที่น่ากังขา โดยเฉพาะวิธีการวัดผลที่เปรียบเทียบค่าฝุ่นช่วงเช้ากับบ่าย ซึ่งมักลดลงตามธรรมชาติอยู่แล้ว
- วงการวิชาการและผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสงสัยในหลักการทางวิทยาศาสตร์และวิธีวิจัยของเทคนิคดังกล่าว ว่าสามารถเจาะเพดานอากาศชั้นผกผัน (Inversion) เพื่อระบายฝุ่นจากพื้นราบขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศที่สูงขึ้นได้จริงหรือไม่
- รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการฝ่ายวิชาการ เพื่อประเมินผลของปฏิบัติการนี้อย่างจริงจัง เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพและสร้างความกระจ่างให้สาธารณชน รวมถึงทบทวนการจัดสรรงบประมาณให้แก้วิกฤติฝุ่นอย่างมีประสิทธิผลสูงสุด
กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้ใช้เทคนิคใหม่เรียกว่า ปฏิบัติการลดอุณหภูมิชั้นบรรยากาศผกผัน ระบายฝุ่นละอองขนาดเล็ก เป็นภาษาชาวบ้านว่าการเจาะเพดานอากาศเพื่อแก้วิกฤติมลพิษฝุ่นควันตั้งแต่ต้นปี 2567 ต่อเนื่องมาถึงฤดูฝุ่นปัจจุบัน แทนความพยายามทำฝนเทียมซึ่งมีผลสัมฤทธิ์น้อย เพราะความชื้นในบรรยากาศระหว่างฤดูแล้งไม่เพียงพอ
อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงผู้ผลักดันเทคนิคใหม่นี้ ก็คือ นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม ปัจจุบันลาออกจากราชการ ลงสมัครเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ได้แถลงสื่อมวลชน ตามเอกสารแถลงข่าว 15/3/67 บอกว่า ปฏิบัติการ "โปรยสารเจาะเพดานอากาศชั้นอุณหภูมิผกผัน" สามารถระบายฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 3 ไมครอนได้ประมาณ 40-50% เมื่อเปรียบกับพื้นที่ที่ไม่ได้ปฏิบัติการ
เทคนิคเจาะชั้นบรรยากาศระบายฝุ่น กลายเป็นปฏิบัติการหลักต่อเนื่องมาจากนั้น โดยฤดูฝุ่นปี 2568 โดยกรมฝนหลวงเริ่มบินโปรยสารตั้งแต่ธันวาคม 2567 ถึงเมษายน 2568 ระหว่างนั้นก็เผยแพร่ผลการปฏิบัติการแบบกำกวม กล่าวคือ ได้รายงานการบินพิกัดใดตอนเวลาใด แล้วก็นำค่ามลพิษอากาศสถานีพื้นราบก่อนและหลังการโปรยสารมาเปรียบเทียบ เพื่อนำไปสู่บทสรุปรายงานผลลัพธ์ปฏิบัติการสื่อสารสาธารณะ
ซึ่งแน่นอนว่า ค่ามลพิษฝุ่นควันหลังปฏิบัติการที่วัดค่าในช่วงบ่าย ย่อมต่ำกว่าค่าฝุ่นช่วงเช้า อันเป็นวงจรปกติที่พบกันทั่วไป ต่อให้ไม่มีปฏิบัติการโปรยสารเจาะเพดานท้องฟ้า ค่ามลพิษฝุ่นภาคบ่ายก็มักจะลดต่ำลงอย่างชัดเจน
ผลการทดลองยังน่ากังขา ประเทศไทยอาจเป็นชาติแรกของโลกที่ทำได้?
ประสิทธิผลของเทคนิคโปรยสารเจาะเพดานฟ้า ทำให้ค่าฝุ่นภาคพื้นดินลดลงได้จริงตามรายงานปฏิบัติการประจำวันจริงหรือ? แล้วมันสามารถเจาะเพดานฟ้าสลายชั้นอุณหภูมิผกผัน (Inversion) ได้จริงหรือ?
เพราะหากทำสำเร็จ ประเทศไทยอาจจะเป็นชาติแรกของโลกที่ทำได้ เหนือกว่ามหาอำนาจด้านการดัดแปรสภาพอากาศอย่างสหรัฐอเมริกา จีน และ อินเดีย ด้วยซ้ำไป !?
ความน่ากังขาของเทคนิคใหม่ดังกล่าวทำให้วงวิชาการ ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษอากาศและภูมิอากาศ HTAPC เชิญตัวแทนกรมฝนหลวงฯ นำเสนอข้อมูลและรายละเอียดเชิงวิชาการของโครงการนี้ 2 ครั้ง
เมื่อต้นปี 2568 ได้ข้อมูลว่า มาจากข้อมูลวิจัยการเมื่อปี 2560-2561 มีแนวคิดพยายามลดอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศผกผัน (Inversion Layer) ด้วยน้ำแข็งแห้ง (Dry Ice) ประสงค์ให้ชั้นเพดานผกผันเปิดออก เพื่อให้ละอองลอยที่อยู่ในบรรยากาศใต้ชั้นผกผันที่ว่า สามารถลอยผ่านข้นสู่ชั้นบรรยายกาศที่สูงขึ้นได้
สรุปเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายก็คือ เมื่อโปรยสารที่เพดานอากาศผกผันแล้ว เมื่อบินตรวจวัดซ้ำ ได้ผลปรากฏละอองลอยเหนือบริเวณโปรยสาร มีมากกว่าเดิมราวๆ 50% ก่อนการโปรย เทียบกับพื้นที่ไม่โปรยน้ำแข็งแห้ง มีค่าละอองลอยน้อยกว่า
ประเด็นสำคัญก็คือ เมื่อโปรยแล้ว ตรวจพบละอองลอยชั้นบนเพดานอากาศมีมากขึ้นกว่าเดิม! จุดนี้เองที่กรมฝนหลวงตีความว่า การโปรยสารทำให้เพดานอากาศเปิดออกและละอองลอย (ฝุ่นควัน) ระบายขึ้นได้เป็นผลสำเร็จ
แต่นั่นก็แค่การเริ่มทดลองภายใน ภายใต้เทคนิคเปรียบเทียบก่อนหลังการโปรยสารเหนือท้องฟ้าระดับประมาณ 2,000-3,000 เมตรเท่านั้น
เทคนิค "โปรยสารเปิดเพดานอากาศ" ยังต้องการข้อพิสูจน์เพิ่ม!
ผลการวิจัยถูกเก็บไว้นานจนกระทั่งปี 2567 ยุคที่ นายสุพิศ พิทักษ์ธรรมเป็นอธิบดีกรมฝนหลวงฯ ได้ประกาศใช้เทคนิคนี้เป็นครั้งแรก ในฤดูฝุ่นปี 2567 โดยก่อนหน้านั้น กรมฝนหลวงฯ พยายามทำฝนเทียมเพื่อบรรเทามลพิษฝุ่น แต่ไม่ประสบความสำเร็จนักเพราะอากาศฤดูแล้งทางเหนือมีความชื้นต่ำ
ที่ประชุมวิชาการได้สอบถามข้อมูล และแลกเปลี่ยนความเห็นกับตัวแทนกรมฝนหลวงฯ หลายประเด็น โดยเฉพาะเทคนิควิธีวิจัยที่ยังมีคำถาม เช่น ทำไมแปลงที่ไม่โปรยสาร มีค่าละอองลอยเพิ่มขึ้นเช่นกัน มีการตั้งประเด็นว่า เป็นเพราะการก่อกวนของเครื่องบินทำให้ละอองลอยฟุ้งขึ้นมาหรือไม่ รวมถึงคำถามเรื่องการโปรยสารจำนวนไม่มาก สามารถจะเปิดเพดานอากาศชั้นผกผันได้จริงหรือ ซึ่งต้องใช้เครื่องมือวัดวัดที่ซับซ้อนขึ้นกว่า
การวิจัยของกรมฝนหลวงฯ ยังมีข้อต้องพิสูจน์เพิ่มเติม ยังไม่สามารถบอกได้ว่า จะสามารถระบายฝุ่นที่เป็นวิกฤติในพื้นราบ ขึ้นเป็นแนวดิ่งสูงขึ้นไป 2,000-3,000 เมตรได้จริงหรือ เทคนิคการสลายชั้นผกผัน Inversion ที่จะมีผลต่อการระบายฝุ่นมากที่สุดคือชั้นผกผันระดับล่างสุด ไม่ใช่ชั้นสูง 2,000 เมตรขึ้นไป เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตาม ข้อทักท้วงและข้อสังเกตของวงวิชาการไม่ได้มีข้อผูกพัน ไปเปลี่ยนแปลงมาตรการของกรมฝนหลวงฯ จะด้วยมารยาทระหว่างหน่วยงานหรือใดๆ ก็ตาม เรื่องนี้ก็เงียบหายไป และล่าสุด กรมฝนหลวงฯ ก็ยังปฏิบัติการเจาะชั้นเพดานอากาศแบบที่เคยทำมาเช่นเดิม
เร่งหาคำตอบ! อะไรคือมาตรการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพจริง?
เรื่องนี้ไม่ควรปล่อยผ่าน ประเด็นที่จะมีผลต่อปัญหาวิกฤติมลพิษฝุ่นก็คือ อะไรคือมาตรการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ได้ประสิทธิผลจริง และมาตรการใดที่อาจจะละลายทรัพยากรไปเปล่าๆ เช่นเดียวกับยุคหนึ่ง ที่หน่วยงานรัฐใช้การฉีดน้ำขึ้นฟ้า สูญเปล่าทั้งเครื่องจักรและค่าเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่โดยไม่ระคายเนื้อปัญหาแม้แต่น้อย
ประเด็นต่อมาคือ ภาพรวมของการเตรียมเผชิญเหตุของหน่วยงานรัฐแต่ละหน่วยมีความพร้อมไม่เท่ากัน กรมฝนหลวงฯ ได้งบประมาณมาก แต่หน่วยงานอื่นบางหน่วยยังขาดแคลน ไม่มีความพร้อมเช่นหน่วยดับไฟในพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่มีโดรนใช้ ทั้งที่จำเป็นมาก ดังนั้น ปฏิบัติการในภาพรวมของรัฐควรต้องเฉลี่ยและจัดสรรทรัพยากร งบประมาณ และมาตรการที่เหมาะสม
สิ่งที่รัฐบาลควรทำที่สุดสำหรับฤดูฝุ่นควันปีนี้ ก็คือ ตั้งกรรมการฝ่ายวิชาการประเมินผลปฏิบัติการเจาะเพดานอากาศ ว่า มีประสิทธิภาพประสิทธิผล ลดมลพิษได้ 50% บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นราบได้แค่ไหนระดับใด เพราะที่ผ่านมาสองปี ยังไม่เคยมีรวมทั้งการเปิดเผยสู่สาธารณะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว หากว่าการประเมินผลพบว่าเทคนิคดังกล่าวเจาะเพดานอากาศชั้นผกผันระบายมลพิษพื้นราบได้จริง จะเป็นเรื่องใหญ่ระดับนานาชาติ เพราะแม้แต่ชาติใหญ่ๆ อย่างสหรัฐอเมริกา จีน อินเดียที่มีประสบการณ์ทำฝนเทียม และมีหน่วยดัดแปรสภาพอากาศมายาวนาน ก็ยังทำเรื่องนี้ไม่ได้
แต่หากไม่เป็นไปตามนั้น ก็สมควรที่จะให้มีการทบทวนชุดมาตรการที่มีประสิทธิผลต่อการแก้วิกฤติมลพิษฝุ่นควันที่เหมาะสมต่อไป
..........................................
เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ







