‘Fatigue’ คำแห่งปีโลกการทำงาน 2025 พนักงานทั่วโลกอ่อนล้าขั้นสุด

‘Fatigue’ คำแห่งปีโลกการทำงาน 2025 พนักงานทั่วโลกอ่อนล้าขั้นสุด

Glassdoor ประกาศคำแห่งปีของโลกการทำงาน 2025 คือ “Fatigue” หรือความอ่อนล้า สะท้อนว่าพนักงานทั่วโลกกำลังหมดแรง ข้อมูลชี้ชัด มีการกล่าวถึงคำนี้เพิ่มขึ้น 41% ในปีเดียว

KEY

POINTS

  • Glassdoor ประกาศคำแห่งปีของโลกการทำงาน 2025 คือ คำว่า “Fatigue” หรือความอ่อนล้าหมดแรง สะท้อนภาวะที่พนักงานทั่วโลกกำลังเผชิญกับความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง
  • สาเหตุหลักของความอ่อนล้าเกิดจากแรงกดดันหลายด้านที่ทับซ้อนกัน เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ (Stagflation) การเลิกจ้างครั้งใหญ่ และผลกระทบจากเทคโนโลยี AI
  • ข้อมูลจากชุมชนออนไลน์ของ Glassdoor พบว่ามีการกล่าวถึงคำว่า “Fatigue” เพิ่มขึ้นถึง 41% ในปีเดียว ซึ่งบ่งชี้ว่าพนักงานรู้สึกว่าตลาดแรงงานไม่เอื้อต่อการเติบโตและเต็มไปด้วยความเครียด
  • ภาวะดังกล่าวส่งผลให้พนักงานรู้สึก "ติดกับดัก" ในหน้าที่การงาน (Job hugging) และเกิดช่องว่างความเข้าใจระหว่างพนักงานกับผู้นำองค์กร เกิดแรงกดดันด้านประสิทธิภาพงานอย่างหนัก

ในฐานะมนุษย์งานที่ลุยงานมาตลอดทั้งปี ถ้าให้นึกคำจำกัดความของ "โลกการทำงานปี 2025" ที่ผ่านมา คุณคิดว่าคำไหนเหมาะสมที่สุด? เชื่อว่าหลายคนอาจจะเห็นด้วยกับรายงานของ Glassdoor แพลตฟอร์มตลาดงานชื่อดัง ที่ได้เปิดเผย "คำแห่งปี" เพียงหนึ่งเดียวที่สามารถอธิบายประสบการณ์การทำงานของผู้คนในปี 2025 ได้ชัดเจนที่สุด นั่นคือคำว่า “Fatigue” หรือ “ความอ่อนล้าหมดแรง

เนื่องจากปีที่ผ่านมา  ถือเป็นปีที่เต็มไปด้วยความกังวลและกดดันสำหรับคนทำงานจำนวนมาก ต้องเผชิญกับคำสั่งกลับเข้าออฟฟิศอย่างเข้มงวด (RTO), การเลิกจ้างครั้งใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม, การหางานที่ยาวนาน เหนื่อยล้า และเส้นทางอาชีพที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จึงไม่แปลกที่บรรยากาศโดยรวมของตลาดแรงงานจะถูกนิยามว่า “running on empty” หรือพูดง่ายๆ ว่า คนทำงานกำลังฝืนเดินต่อไปทั้งที่พลังแทบไม่เหลือ

โดย Glassdoor ได้เปิดเผยรายงานดังกล่าวไว้ในบล็อกโพสต์เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา ระบุว่า ตลอดปีนี้วัยทำงานจำนวนมากอยู่ในภาวะตึงเครียดตลอดเวลา ต่างรู้สึกกังวลว่าข่าวร้ายรอบถัดไปจะเป็นเรื่องอะไร ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (AI) เศรษฐกิจ ค่าครองชีพ การปลดพนักงาน หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดทางการเมือง

“การเมืองกลายเป็นประเด็นหลัก ขณะที่ความกลัวเรื่องการเลิกจ้างยังไม่จางหาย ความกังวลทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น และ AI ก็เข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงานอย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์คือแรงงานที่กำลังหมดแรง” Glassdoor ระบุในรายงาน

พนักงานอ่อนล้าพุ่ง 41% ภายในปีเดียว สะท้อนตลาดงานปี 2025 

Glassdoor ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากพฤติกรรมการพูดคุยของวัยทำงานใน Glassdoor Community โดยเก้บสถิติเมื่อมีการเอ่ยถึงคำว่า “Fatigue” มาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึง 18 พฤศจิกายน 2025 แล้วนำไปเทียบกับระยะเวลาของทั้งปี 2024 ผลลัพธ์พบว่า คนทำงานพูดถึงคำคำนี้เพิ่มขึ้นถึง 41% ภายในปีเดียว

แดเนียล จ้าว (Daniel Zhao) หัวหน้าทีมเศรษฐศาสตร์ของ Glassdoor ให้สัมภาษณ์กับ CNBC Make It ว่า คนทำงานจำนวนมากรู้สึกว่าตลาดแรงงานในตอนนี้ไม่ได้เอื้อให้พวกเขาก้าวหน้าเหมือนเดิมอีกต่อไป เนื่องจากตลาดแรงงานทุกวันนี้อยู่ในภาวะจ้างงานชะลอตัว โอกาสเติบโตในอาชีพมีจำกัด รายได้ไม่ขยับตามที่คาดหวัง และทั้งหมดนี้.. กำลังบ่อนเซาะกำลังใจของแรงงานอย่างต่อเนื่อง

แล้วทำไม ‘Fatigue’ ถึงกลายเป็นคำแห่งปีของคนทำงาน ? เรื่องนี้ Glassdoor ชี้ว่า ความเหนื่อยล้าหมดแรงของวัยทำงานในปี 2025 ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลสะสมจากหลายแรงกดดันที่ทับซ้อนกัน หนึ่งในนั้นก็คือ ปัจจัยด้านการเมือง ซึ่งตามรายงานพบว่า วัยทำงานพูดถึงคำว่า “พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง” เพิ่มขึ้นถึง 875% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนความตึงเครียดและความไม่แน่นอนที่คนทำงานรับรู้ได้เกี่ยวกับการเมืองสหรัฐ รวมถึงการเมืองโลก

ถัดมาคือ ปัจจัยความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและภาวะ Stagflation ซึ่งหมายถึง ภาวะเศรษฐกิจชะงักงันควบคู่เงินเฟ้อสูง ซึ่งแรงงานจำนวนมากรับรู้ และรู้สึกได้ว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการปรับขึ้นของค่าจ้าง ส่งผลกระทบโดยตรงกับพวกเขา (เงินเดือนขึ้นช้าหรือไม่ขึ้นเลย ค่าเช่า-ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น บริษัทไม่กล้าจ้างคนเพิ่ม คนทำงานเหนื่อยมากขึ้น แต่ชีวิตไม่ดีขึ้น) ทั้งนี้ พบว่าวัยทำงานพูดถึงคำว่า “Stagflation” มากขึ้นกว่าเดิมมากกว่า 3 เท่า

ปัจจัยสุดท้ายคือ แรงกระแทกจาก AI โดยตามรายงานพบว่าวัยทำงานมีการพูดถึงคำว่า “Agentic” ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบ AI ที่ทำงานเชิงรุก เพิ่มขึ้นถึง 2,244% เมื่อเทียบระหว่างปีที่แล้วกับปีนี้ พร้อมกันนั้น ความเหนื่อยล้าจากการหางาน และความวิตกกังวลเรื่องการถูกเลิกจ้าง ก็ยังเป็นสิ่งที่คนทำงานจำนวนมากต่างรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง

ตลอดปี 2025 วัยทำงานรู้สึก ‘ติดกับดัก’ ทั้งงานและอาชีพ

แดเนียล จ้าว ยังมองว่า ความเครียดในปัจจุบันอาจเป็นผลตกค้างจากช่วงโควิด-19 ที่ลากยาวมาหลายปี เขามองว่า “5 ปีที่ผ่านมามนุษย์งานเหมือนอยู่บนรถไฟเหาะ ตั้งแต่โควิดจนถึงวันนี้ ชีวิตแทบจะไม่มีช่วงให้พักจริงๆ เลย จึงไม่แปลกที่คนทำงานจะรู้สึกหมดแรง

หนึ่งในสัญญาณสำคัญของความอ่อนล้า คือเทรนด์อย่าง “Job hugging” ที่เกิดขึ้นในปีนี้ หมายถึง การที่พนักงานยังคงอยู่กับงานเดิม ทั้งที่ไม่ได้มีความสุขหรือรู้สึกมีส่วนร่วมกับงานนัก เพราะตลาดงานภายนอกยากเกินกว่าจะเสี่ยงออกไป

จ้าวอธิบายว่า คนทำงานไม่ได้รู้สึกแค่ติดกับดักอยู่กับตัวงานเท่านั้น แต่รู้สึกติดอยู่กับทั้งเส้นทางอาชีพทั้งหมดของตนเอง (ไม่มีหนทางเติบโตต่อ แต่จะเปลี่ยนสายงานใหม่ก็เสี่ยงเกิน) และเมื่อความรู้สึกที่ว่า “ไปต่อไม่ได้” สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งผลักดันให้พนักงานเกิดภาวะหมดไฟในวงกว้าง

เขายังชี้ถึงช่องว่างระหว่างพนักงานกับผู้นำองค์กรที่ยิ่งนับวันก็ยิ้งถ่างกว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบาย AI ที่ถูกนำเข้ามาทดแทนคนงาน, คำสั่งกลับเข้าออฟฟิศ หรือการเร่งประสิทธิภาพการทำงาน ในช่วงเวลาที่แรงงานจำนวนมากกำลังเหนื่อยล้าอย่างหนัก

“มันค่อนข้างย้อนแย้ง ที่นายจ้างพยายามกดดันเรื่องผลิตภาพและประสิทธิภาพอย่างหนัก แต่กลับไม่ทุ่มเทเท่าที่ควรในการทำให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วมกับงาน” จ้าวกล่าว

เขาเตือนว่า หากพนักงานไม่รู้สึกว่าความพยายามของตัวเองจะได้รับการตอบแทน ความผูกพันกับงานก็จะลดลง และสุดท้ายผลลัพธ์ด้านผลิตภาพก็จะตกลงตามไปด้วย

คนทำงานรับมือกับความหมดแรงอ่อนล้า (Fatigue) อย่างไรดี?

สำหรับผู้ที่กำลังหางาน จ้าวยอมรับว่าตลาดงานยังคงตึงตัวทำให้หางานยาก แต่แนะนำให้พยายามสร้างชุมชนหรือเครือข่ายกับคนที่กำลังหางานเหมือนกัน มีระบบสนับสนุนที่ช่วยพยุงใจ แบ่งจังหวะการหางานให้เหมาะสม และไม่กดดันตัวเองเกินไป

ส่วนคนทำงานที่รู้สึกว่าภาระงานล้นมือ การลดความสำคัญของงานที่ไม่ส่งผลต่อการเติบโตในระยะยาว อาจช่วยได้ โดยมีหลายคนเริ่มมองหาช่องทางอื่นในการพัฒนาอาชีพและเติมเต็มความทะเยอทะยาน เช่น หางานเสริม หรือทำโปรเจกต์ส่วนตัว ที่ช่วยพัฒนาทักษะและเปิดทางเลือกในอนาคต

เมื่อพูดถึงภาวะหมดไฟ ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้สร้างระยะห่างจากสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด ทบทวนลำดับความสำคัญในชีวิต และตั้งขอบเขตให้ชัดเจนมากขึ้น หัวหน้าทีมเศรษฐศาสตร์ของ Glassdoor ให้คำแนะนำว่า “การค้นหาว่าอะไรเป็นแรงจูงใจของตัวเอง คือกุญแจสำคัญในการรีเซ็ตความคาดหวัง และจัดการกับภาวะหมดไฟได้อย่างยั่งยืน”

สุดท้ายแล้ว “Fatigue” คำแห่งปีของโลกการทำงาน 2025 ไม่ได้สะท้อนว่าคนทำงานอ่อนแอ แต่บ่งชี้ว่าพนักงานทั่วโลกกำลังแบกรับความไม่แน่นอนต่อเนื่องมาหลายปีจากหลายปัจจัย ทางออกของวิกฤตินี้คงต้องอาศัยความร่วมมือของทั้งองค์กรและตัวพนักงาน สำหรับคนทำงานคงต้องเริ่มจัดลำดับพลังงานของตัวเองใหม่ และพัฒนาทักษะเพิ่มขึ้น ส่วนองค์กรก็ต้องเข้าใจว่า ประสิทธิภาพงานจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อพนักงานมีแรงสู้ มีส่วนร่วม และนายจ้างมองเห็นคุณค่าความพยายามของพวกเขา

เมื่อก้าวเข้าสู่ปีหน้า คำว่า “Fatigue” จึงไม่ควรเป็นเพียงคำอธิบายความเหนื่อยล้า แต่ควรเป็นสัญญาณเตือนให้ทั้งแรงงานและนายจ้างช่วยกันออกแบบจังหวะการทำงานใหม่ เพื่อให้มนุษย์ทำงานยังมีแรงยืนระยะ และกลับมาสู้ต่อได้อย่างไม่หมดไฟไปเสียก่อน

 

 

อ้างอิง: CNBC, Glassdoor