สิงคโปร์กับอาเซียน

สิงคโปร์เป็น 1 ใน 5 ประเทศผู้ร่วมก่อตั้งใน ค.ศ. 1967 แต่เมื่อมีการก่อตั้งอาเซียนนั้น สิงคโปร์เพิ่งเป็นประเทศเอกราชได้เพียง 2 ปี
หลังจากแยกตัวออกมาจากมาเลเซียใน ค.ศ. 1965 จริงๆ แล้วผู้นำสิงคโปร์ในขณะนั้น คือ นายลีกวนยู (Lee Kuan Yew) มิได้ต้องการที่จะแยกตัวออกมาจากมาเลเซีย เพราะเห็นว่าดินแดน 2 ส่วนนี้มีความผูกพันใกล้ชิดทั้งในทางประวัติศาสตร์และในด้านเศรษฐกิจจนไม่สมควรที่จะดำรงอยู่อย่างแยกจากกัน
ลีกวนยูเชื่อว่าการเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียมีความสำคัญยิ่งต่อความอยู่รอดของสิงคโปร์ ดังนั้น ในการให้สัมภาษณ์ที่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1965 ซึ่งเป็นวันประกาศแยกตัวจากมาเลเซีย เขาต้องหลั่งน้ำตาเพราะไม่อาจกลั้นอารมณ์ไว้ได้ สิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ ไม่มีน้ำประปาใช้เอง และในขณะนั้นมีความสามารถในการป้องกันประเทศอยู่ระดับจำกัด การแยกตัวออกจากมาเลเซียจึงเป็นการท้าทายอย่างยิ่งต่อลีกวนยูและรัฐบาลของเขา
ปัญหาความอยู่รอดของชาติที่เป็นเพียง “นครรัฐ” อย่างสิงคโปร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดและด้วยการตระหนักถึงปัญหานี้ นโยบายต่างประเทศของสิงคโปร์จึงถูกกำหนดโดยความจำเป็นของการพึ่งพาซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจในระบบเสรีนิยมโลก ซึ่งหมายถึงว่าสิงคโปร์ยอมรับและดำเนินการอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์มาตั้งแต่คำนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย
นอกจากนั้น ที่สำคัญและเกี่ยวข้องโดยตรงกันอาเซียนก็คือ สิงคโปร์ถือว่าอาเซียนมีส่วนอย่างมากในการส่งเสริมผลประโยชน์ด้านการต่างประเทศและความมั่นคงของตน ซึ่งรวมไปถึงการธำรงรักษาเอกราชและบูรณภาพทางดินแดน สิงคโปร์จึงให้ความสำคัญอย่างมากเช่นกันต่อการพัฒนาระเบียบทางสถาบันของความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีส่วนอยู่ไม่น้อยในการพัฒนาองค์กรและกลไกทางสถาบันของอาเซียน
หากมองย้อนกลับไปช่วงก่อนและหลังการก่อตั้งอาเซียนไม่นาน ก็จะเห็นปัญหาความยากลำบากในสถานการณ์ที่สิงคโปร์เผชิญอยู่ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอินโดนีเซีย (ซูการ์โนที่ดำเนินนโยบายเผชิญหน้ากับมาเลเซียหมดอำนาจไป) อาเซียนก็คงยากจะเกิดขึ้น และหากไม่มีอาเซียนสิงคโปร์ก็จะเผชิญกับการถอนตัวออกไปของอังกฤษตามนโยบาย “East of Suez” (ผลสำคัญของนโยบายนี้คือการถอนฐานทัพออกไปจากสิงคโปร์) ใน ค.ศ. 1968 และการประกาศ “หลักการนิกสัน” (Nixon Doctrine) โดยประธานาธิบดีนิกสัน (Richard M. Nixon) ในปีต่อมาซึ่งบ่งบอกชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาจะถอนตัวออกไปจากเวียดนาม และจะไม่เข้ามาแทรกแซงทางทหารโดยตรงในเอเชียอีก
พัฒนาการต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่สิงคโปร์มีกองกำลังป้องกันตนเองเพียงหยิบมือ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะก่อให้เกิดผลในการป้องปรามใดๆ ดังนั้น อาเซียนซึ่งยึดหลักการไม่แทรกแซงในกิจการภายในของกันและกันและการไม่ใช้กำลังในการตัดสินข้อพิพาท (หลักการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “วิถีอาเซียน” หรือ ASEAN Way มาโดยตลอด) ก็สามารถเป็นหลักประกันอธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดนของสิงคโปร์ได้อย่างน้อยที่สุดก็ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ของความสัมพันธ์ของสิงคโปร์กับชาติเพื่อนบ้านใหญ่โตและเข้มแข็งกว่าที่อยู่รายล้อมนครรัฐแห่งนี้
เป็นที่ยอมรับทั่วไปว่า ลีกวนยู ซึ่งเป็นผู้นำสิงคโปร์ตั้งแต่ ค.ศ. 1959 จนถึง ค.ศ. 1990 มีบทบาทสำคัญยิ่งในการเปลี่ยนสิงคโปร์ให้เป็นประเทศที่มีทั้งความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและมีเสถียรภาพทางการเมืองมากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางด้านการเดินเรือ การคมนาคมขนส่งทางอากาศ การค้า และการเงินที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จนทำให้สิงคโปร์มีบทบาทและอิทธิพลในระดับนานาชาติแม้จะเป็นเพียงชาติเล็กๆ ในแง่ของขนาดพื้นที่และประชากร
อย่างไรก็ดี สิงคโปร์คงยากที่จะก้าวขึ้นมาเป็นอย่างทุกวันนี้หากไม่มีอาเซียนเป็นทั้งกลไกสำคัญในการสร้างเสถียรภาพและกรอบความร่วมมือในภูมิภาค ที่กล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่าอาเซียนเป็นปัจจัยสร้างความก้าวหน้าเข้มแข็งให้แก่สิงคโปร์ แต่อย่างน้อยที่สุดโดยอาศัยบริบทแห่งการมีเสถียรภาพในภูมิภาคซึ่งเป็นคุณูปการสำคัญของอาเซียนนี่เอง ที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาประเทศของสิงคโปร์ตลอดมา
ปัจจุบันสิงคโปร์มีระบบเศรษฐกิจที่เปิดสู่โลกภายนอกมากที่สุดในบรรดาชาติอาเซียนด้วยกัน ทำให้ประชาชนชาวสิงคโปร์โดยทั่วไปดูจะไม่ตื่นเต้นกับการที่อาเซียนจะเป็นประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะการเป็น “ตลาดและฐานการผลิตเดี่ยว” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คนสิงคโปร์คุ้นชินกับสภาพของการเป็นระบบเศรษฐกิจเปิดจนยังมองไม่เห็นว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ เมื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการในอีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม มีชาวสิงคโปร์ไม่น้อยเช่นกันที่เริ่มคิด รวมทั้งวิตก เกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เช่น การบูรณาการกับตลาดเกิดใหม่ (emerging market) เช่น เวียดนาม จะทำให้สิงคโปร์สามารถขยายฐานการเติบโตออกไป โดยเฉพาะด้วยการแบ่งภาระ (outsource) ในการผลิตไปอยู่ในตลาดเหล่านี้ ทำให้สร้างธุรกิจใหม่ได้ด้วยทุนที่น้อยลง นอกจากนั้น ชาวสิงคโปร์ยังมีโอกาสไปทำงานในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค แต่พร้อมกันนั้นก็มีความวิตกว่า ชาวต่างชาติ ซึ่งขณะนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว จะทะลักเพิ่มเข้ามาอีก







