สงกรานต์เมียนมาร์ : สีสันแห่งท้องถิ่น วิถีแห่งอาเซียน

สงกรานต์เมียนมาร์ : สีสันแห่งท้องถิ่น วิถีแห่งอาเซียน

เทศกาลสงกรานต์หรือทั่วโลกต่างรู้จักกันในนาม เทศกาลน้ำ (Water Festival) เป็นงานเทศกาลที่ผูกพันกับวิถีชีวิตผู้คน

กว่าค่อนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นประเพณีรื่นเริงสำคัญประเพณีหนึ่งในงานประเพณีสิบสองเดือนของหลายประเทศในภูมิภาคแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็น ไทย กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์

ในกรณีประเทศไทย รัฐบาลประกาศวันหยุดราชการเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 13 ถึง 15 เมษายน แต่บางท้องถิ่นกลับนิยมจัดก่อนวันหยุดราชการดังกล่าวก็มี เช่น เทศกาลสงกรานต์ท้องถิ่นล้านนา ซึ่งนิยมจัดขึ้นช่วงต้นเดือนเมษายน และบางท้องถิ่นนิยมจัดงานเฉลิมฉลองหลังจากวันดังกล่าวไปแล้วก็มี อาทิ เทศกาลวันไหลเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งมักจัดหลังจากวันที่ 15 เมษายนไปแล้ว และเทศกาลสงกรานต์มอญ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งก็มักจัดขึ้นเกือบสิ้นเดือนเมษายน

อย่างไรก็ดี ประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญอย่างมากแก่เทศกาลสงกรานต์และประกาศจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นอย่างครึกครื้นและกินเวลายาวนานคือ เมียนมาร์ (Myanmar) ตามปฏิทินราชการของเมียนมาร์ประกาศให้เทศกาลสงกรานต์เป็นวันหยุดยาวประจำปี เช่นเดียวกับประเทศไทย กัมพูชาและลาว แต่ชาวเมียนมาร์มีวันหยุดเพื่อเฉลิมฉลองยาวนานกว่า โดยปกติแล้ว รัฐบาลประกาศหยุดเป็นเวลา 10 วัน ระหว่างวันที่ 11 ถึง 20 เมษายน ปัจจุบัน ชาวเมียนมาร์ยังคงยึดถือกันอย่างเคร่งครัดว่าวันสงกรานต์คือวันขึ้นปีใหม่ของเมียนมา อันที่จริงแล้วในทางปฏิบัติ เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่กินเวลายาวนาน ซึ่งไม่เพียงแต่ท้องถิ่นเมียนมาร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงท้องถิ่นอื่นด้วยเทศกาลสงกรานต์ที่ยาวนานอาจตอกย้ำการให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้

คำว่า สงกรานต์ ออกเสียงตามสำเนียงภาษาเมียนมาร์ว่า ตะจ่านหรือตีนจ่าน (Thin-gyan) เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต มีความหมายว่า “the entry of the sun to any of the Twelve Signs of the Zodiac” ตรงกับเดือนตะกู (Ta-goo) ซึ่งเริ่มนับเป็นเดือนแรกตามปฏิทินจันทรคติของเมียนมาร์

ความหมายของการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ในสังคมเมียนมาร์ นัยว่าเป็นการต้อนรับองค์ตะจามีง (Tha-gya-min) หรือพระอินทร์แปลตามความหมายภาษาเมียนมาร์ว่า ผู้ซึ่งรู้เห็นทุกสรรพสิ่ง (สัพพัญญู) ซึ่งถือกันว่าองค์ตะจามีงเป็นใหญ่ในบรรดาเทวดาทั้งปวง ในศาสนาฮินดูถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ คอยกำกับควบคุมฝนฟ้าอากาศ และยังทรงเป็นผู้ดูแลพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงติดตามสอดส่องดูแลพฤติกรรมมนุษย์ ตามตำนานเล่าขานในสังคมเมียนมาร์กล่าวว่า

ตะจามีงเสด็จลงมายังแดนมนุษย์เพื่อทรงนำปีใหม่มาให้ พระองค์ทรงมีบาญชีอยู่สองแผ่น แผ่นหนึ่งทำด้วยทองคำ ส่วนอีกแผ่นหนึ่งทำด้วยหนังสุนัข พระองค์ทรงจารึกชื่อของผู้ทำความดีลงในบาญชีทองคำ ส่วนชื่อของผู้ทำความชั่วทั้งหลายถูกจารึกในบาญชีหนังสุนัข ดังนั้น ในช่วงนี้ ผู้คนทั้งหลายมักทำความดีกันถ้วนหน้าเพื่อหวังว่าจะได้รับการจารึกชื่อในบาญชีทองคำ


พุทธศาสนิกชนชาวเมียนมาร์ต่างยังคงเฝ้ารอต้อนรับองค์ตะจามีง ในเทศกาลสงกรานต์ เฉกเช่นเดียวกับคริสต์ศาสนิกชนทั้งหลายต่างเฝ้ารอคอยต้อนรับซานตาคลอส ในเทศกาลคริสต์มาส แม้ว่าองค์ตะจามีงจะเป็นเทพเจ้าที่นำมาจากเทพเจ้าในศาสนาฮินดูก็ตามทีทุกครั้งที่องค์ตะจามีงเสด็จลงมายังมนุษย์โลก ชาวเมียนมาร์จะสามารถทำนายอนาคตของปีนั้น ๆ ว่าจะบังเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยดูจากข้อมูลขององค์ตะจามีง เช่น เสด็จลงมาอย่างไร ทรงใช้สัตว์ชนิดใดเป็นพาหนะ พระองค์ทรงถือสิ่งใดมาในพระหัตถ์ทั้งสองข้าง ในกรณีนี้ ต่างจากสังคมไทยซึ่งทำนายอนาคตโดยดูจากข้อมูลของนางสงกรานต์ประจำปีนั้นๆ

การจัดงานสงกรานต์ในสังคมเมียนมาร์จะกำหนดวันซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อเรื่องพระอินทร์ เสด็จลงมายังแดนมนุษย์ กล่าวคือ กำหนดวันสำคัญในเทศกาลสงกรานต์มีสามวัน คือวันแรกเรียกว่า อะโจ่ เนะ (AkyoNae) ตามความหมายภาษาเมียนมาร์แปลว่า วันรับ ในที่นี้คือ วันต้อนรับพระอินทร์ซึ่งทรงนำปีใหม่มาประทานให้วันที่สองเรียกกันว่า อะจ้ะ เนะ (AkyaNae) แปลตามความหมายว่า วันมหาสงกรานต์ เป็นวันที่พระอินทร์ประทับอยู่บนมนุษย์โลก วันที่สามเรียกกันว่า อะจั๊ต เนะ (AkyatNae) แปลความได้ว่า วันที่อยู่กึ่งกลางระหว่างวันสงกรานต์กับวันเริ่มศกใหม่ องค์อินทร์เสด็จคืนสู่สวรรค์ในวันนี้ (วันเนา) และวันรุ่งขึ้นกำหนดกันว่าเป็นวันขึ้นศกใหม่ หรือเรียกกันว่า อะเต๊ะ เนะ (AtakNae)

ในเอกสารราชการในราชสำนักเมียนมาร์โบราณ รายงานว่า มีกำหนดจัดงานการพระราชพิธีลงสรงพระเกศาของกษัตริย์เมียนมาร์ และการเสด็จพระราชดำเนินบำเพ็ญพระราชกุศลยังพระอารามหลวง ในช่วงเดือนตะกู เพื่อต้อนรับปีใหม่เดือนใหม่

ธรรมเนียมปฏิบัติเทศกาลสงกรานต์เมียนมาร์ซึ่งสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป ในปัจจุบัน ถือเป็นความโดดเด่นเฉพาะท้องถิ่น และมักถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ กล่าวคือ การสร้างเวทีเล่นสาดน้ำประจำหมู่บ้าน ตำบล เมือง การทำบุญทำทาน เช่น การไถ่ชีวิตโค การปล่อยนก ปล่อยปลา บางครั้งอาจพบเห็นภาพหญิงสาวในหมู่บ้านเมียนมาร์ นำปลาที่จะปล่อยคืนสู่ธรรมชาติใส่ในหม้อน้ำแล้วทูนไว้เหนือศีรษะ เดินเรียงตามกันเป็นแถวยาวไปยังแหล่งน้ำ กิจกรรมที่สามารถสร้างความครื้นเครงในหมู่คนหนุ่มสาวอย่างหนึ่งคือ การกินขนมที่เรียกว่า ม่งโลงเหย่ป่อ (Mok-lone-yae-baw) ซึ่งเป็นขนมอย่างเดียวกันกับขนมต้มขาวของไทย บางทีฝ่ายสาวๆ มักหยอกล้อฝ่ายหนุ่มๆ เล่น โดยการใส่พริกลงไปข้างในเป็นไส้ขนมแทนน้ำตาลปึก แล้วนำไปให้ฝ่ายหนุ่มๆ กินกัน เป็นต้นอย่างไรก็ดี กิจกรรมหลักๆ อาจจำแนกได้เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา และกิจกรรมบันเทิง ซึ่งต่างใช้น้ำเป็นสื่อกลาง ไม่ว่าจะเป็น การใช้น้ำสระสรงพระสารีริกธาตุ พระพุทธรูป สถูปเจดีย์ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ การใช้น้ำแสดงความเคารพ กตัญญุตาต่อผู้หลักผู้ใหญ่ และการละเล่นสาดน้ำ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับสงกรานต์ท้องถิ่นอื่น

นอกจากท้องถิ่นเมียนมาร์แล้ว เทศกาลสงกรานต์ยังเป็นเทศกาลที่มีความสำคัญในท้องถิ่นอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน สิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนผ่านเทศกาลสงกรานต์คือ การใช้น้ำเป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรม ดังนั้น เทศกาลสงกรานต์จึงควรได้รับการขนานนามว่าเป็นเทศกาลน้ำโดยแท้จริง

ปัจจุบัน ทุกภาคส่วนต่างตื่นตัวกับกระแสการเป็นประชาคมอาเซียนในช่วงปลายปี พ.ศ. 2558 ผนวกกับความคล้ายคลึงของเทศกาลน้ำ ในหลายประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน ซึ่งมีกำหนดจัดงานช่วงเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่ารูปแบบหรือความหมายต่างๆ จะแตกต่างกันไปบ้างก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือ การใช้น้ำเป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรม (unity of diversity) จากลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่จะกำหนดให้เป็นเทศกาลร่วมของประชาคมอาเซียน และกำหนดเรียกเทศกาลนี้ด้วยคำกลางๆ ว่า “เทศกาลน้ำ” เพื่อให้คนในอาเซียนและนอกอาเซียน เข้ามามีส่วนร่วมในเทศกาลน้ำ อันแสดงถึงวิถีแห่งอาเซียนของเราได้