The great Divergence : the rest vs the west (11)

The great Divergence : the rest vs the west (11)

ในครั้งที่แล้วเราได้ข้อสรุปว่าผลลัพธ์ของนโยบายการค้าระหว่างประเทศขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางอำนาจของกลุ่มผลประโยชน์

ซึ่งในกรณีของอังกฤษนั้น อังกฤษอาจจะเหมือนกับหลายๆ ประเทศในภาคพื้นยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17 จนถึงต้นศตวรรษที่ 19 อังกฤษก็ใช้นโยบายการค้าแบบ Mercantilism และใช้นโยบายปกป้องคุ้มครอง หรือ Protectionism มีการตั้งกำแพงภาษีคุ้มครองธัญพืชในประเทศ เหล้าองุ่นจากฝรั่งเศสโดนเก็บภาษีที่สูงซึ่งก็โดนฝรั่งเศสตอบโต้ อย่างไรก็ตาม อังกฤษตัดสินใจเลือกที่จะใช้นโยบายการค้าเสรีซึ่งชี้ให้เห็นถึงชัยชนะและการจับมือกันเป็นพันธมิตรของฝ่ายแรงงานกับฝ่ายทุนธุรกิจ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการค้าเสรี และความพ่ายแพ้ของฝ่ายเจ้าของที่ดิน และเมื่อทำแล้วอังกฤษก็แสดงให้เห็นถึงความคงเส้นคงวายึดมั่นในนโยบายการค้าเสรีนี้นานกว่าประเทศคู่แข่งอื่นๆ ในยุโรปหรืออเมริกา โดยแม้จะทำอยู่ฝ่ายเดียวเก็บภาษีสินค้านำเข้าในอัตราที่ต่ำจนถึงอย่างน้อยเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1914 ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับประเทศในภาคพื้นยุโรปส่วนใหญ่

ในกรณีของประเทศบนภาคพื้นยุโรปและอเมริกาในช่วงหลังศตวรรษที่ 19 ซึ่งเลือกที่จะใช้นโยบายคุ้มครองหรือปกป้องภาคเกษตรและอุตสาหกรรมนั้นเล่า โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศและโครงสร้างของอำนาจทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ของประเทศเหล่านี้ต่างกับของอังกฤษอย่างไร นโยบายการค้าเสรีถึงไม่เกิดเช่นในกรณีของสหรัฐ หรือ ถ้าเกิดขึ้นก็ดำรงอยู่ได้ไม่นาน เช่น ในกรณีของประเทศบนภาคพื้นยุโรป

เราจะเข้าใจที่มาของความแตกต่างในนโยบายการค้าระหว่างประเทศโดยมองจากกลุ่มผลประโยชน์หรือเป็นภาคธุรกิจ หรือในแนวลักษณะชนชั้นได้โดยหันกลับไปวิธีการจำแนกปัจจัยการผลิตและวิธีคิดของ Stolper-Samuelson ที่แบ่งปัจจัยการผลิตเป็นแรงงาน ทุน และที่ดิน หรือจะมองเป็นการแบ่งประเภทชนชั้นตามแนวคิดของนักวิชาการรัฐศาสตร์ เช่น Rogowski ก็ได้หลักใหญ่ๆ มีอยู่ว่า ถ้าในขณะหนึ่งขณะใดประเทศนั้นมีปัจจัยการผลิตประเภทใดอยู่มากมายเจ้าของปัจจัยการผลิตนั้นย่อมสนับสนุนให้เกิดระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่เสรีเจ้าของปัจจัยการผลิตที่ขาดแคลนซึ่งมักจะมีราคาปัจจัยการผลิตที่สูงย่อมไม่อยากเห็นการค้าเสรี เจ้าของที่ดินหรือชาวนาย่อมไม่อยากเห็นการหลั่งไหลเข้ามาของธัญพืชราคาถูกจากอเมริกา หรือยุโรปบางประเทศซึ่งจะกดดันทั้งราคาอาหารและราคาหรือค่าเช่าที่ดินให้ต่ำลง ขณะที่คนงานอังกฤษอยากได้ราคาอาหารที่ทำจากข้าวสาลีที่ถูกลงย่อมสนับสนุนการแข่งขันจากการค้าระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับนายทุนอุตสาหกรรมของอังกฤษที่มีความได้เปรียบในความสามารถในการแข่งขัน ในกรณีของอังกฤษตลอดเวลา อังกฤษขาดแคลนที่ดินและหลังปฏิวัติอุตสาหกรรม ประชากรอังกฤษเติบโตในอัตราที่สูงมาก และอังกฤษประสบความสำเร็จในการสะสมทุนและการออม อังกฤษมีทุนเหลือพร้อมที่จะหาประโยชน์สูงสุดในต่างประเทศเสริมที่ได้จากในประเทศ โดยเปรียบเทียบอังกฤษจึงมีแรงงานและทุนมากแต่มีที่ดินน้อย ตามหลักคิดข้างต้นนายทุนธุรกิจทั้งอุตสาหกรรมและการเงิน และแรงงานในศตวรรษที่ 19 จึงเป็นพันธมิตรกันผลักดันฝ่ายการเมืองให้ดำเนินนโยบายการค้าและการเคลื่อนย้ายทุนที่เสรี ซึ่งอังกฤษสามารถผลักดันนโยบายและอุดมการณ์เสรีนิยมนี้ได้กว้างขวางจากอำนาจหรือระบบจักรวรรดินิยม

ในกรณีของประเทศบนภาคพื้นยุโรป เมื่อเยอรมันทำสงครามโลกครั้งที่ 2 กับอังกฤษและพันธมิตรนั้น เยอรมันไล่กวดอังกฤษทิ้งลดช่องห่างไปมากในขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมหรือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันไม่ตามหลังอังกฤษอีกต่อไปแล้ว ฝ่ายทุน และแรงงานเริ่มเป็นฝ่ายที่ปัจจัยการผลิตมีเหลือเฟือเมื่อเทียบกับที่ดินทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น เหล็ก เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกล เครื่องไฟฟ้าสามารถเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับฝ่ายแรงงานจับมือกันสนับสนุนนโยบายการค้าเสรี ขณะที่ฝ่ายเกษตรเจ้าของที่ดินต้องการการคุ้มครองโดยกำแพงภาษีที่สูง แต่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เรื่อยมาจนถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันยังเสียเปรียบอังกฤษในขีดความสามารถทางเศรษฐกิจทุนและที่ดินยังเป็นปัจจัยการผลิตที่ขาดแคลนเมื่อเทียบกับแรงงานทุนอุตสาหกรรมและเจ้าของที่ดิน หรือ Junker จึงสามารถจับมือกันเป็นพันธมิตรทางการเมืองรัฐบาลต้องทิ้งนโยบายการค้าเสรีและหันไปสู่นโยบาย Protection

ในกรณีของอเมริกา เมื่ออเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 หรือหลังสงครามอเมริกาเป็นประเทศที่มีทุนเหลือเฟือเป็นประเทศเจ้าหนี้สุทธิสามารถส่งออกทุนให้กู้ต่างประเทศเหมือนอังกฤษก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่อเมริกาก็ยังมีที่ดินมากเพราะฉะนั้นในหลักการฝ่ายทุนและที่ดินย่อมได้ประโยชน์และอยากเห็นนโยบายเศรษฐกิจการค้าเสรีขณะที่ แรงงานโดยเปรียบเทียบไม่ต้องการเห็นการเข้ามาของสินค้าและแรงงานอย่างเสรีเพราะจะมีผลต่อการกดดันค่าจ้างในประเทศ แต่ย้อนกลับไปสักสองร้อยปีเรื่อยมา อเมริกาเป็นประเทศที่มีที่ดินล้นเหลือคล้ายกับประเทศสยามของเรา แต่ยังขาดแคลนทุนและแรงงาน ฝ่ายภาคเกษตรและฝ่ายที่ดิน ย่อมส่งเสริมนโยบายการค้าเสรีขณะที่ฝ่ายทุนอุตสาหกรรมยังอยู่ในขั้นต้นสู้อังกฤษไม่ได้ทุนยังขาดแคลนเหมือนฝ่ายแรงงานทั้งทุนและแรงงานย่อมสนับสนุนการคุ้มครองอุตสาหกรรมอเมริกาจึงมีโครงสร้างภาษีนำเข้าสูงกว่าคนอื่นมาตลอด เช่น เฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 40 - 50 ก็มี ต่างกับอังกฤษอย่างสิ้นเชิง สงครามกลางเมืองที่ส่วนหนึ่งเกิดจากผลประโยชน์ของแรงงานทาสก็สะท้อนผลประโยชน์ของกลุ่มเช่นกันทางใต้ที่มีที่ดินมากส่งออกฝ้าย ยาสูบ โดยใช้แรงงานทาสย่อมได้ประโยชน์จากการค้าเสรีฝ่ายเหนือ และตะวันออกซึ่งเป็นฝ่ายทุนอุตสาหกรรมและทุนการค้ายังได้ประโยชน์จากการผูกขาดตลาดภายในประเทศ จึงสนับสนุนนโยบาย Protectionism

ตัวอย่างของความหลากหลายในนโยบายการค้าระหว่างประเทศนี้ ชี้ให้เห็นว่าแม้อังกฤษจะครองความเป็นเจ้าอาณานิคมถึง 43 แห่งใน 5 ทวีป ในทศวรรษที่ 19 สามารถบังคับให้ประเทศที่อยู่ใต้อาณัติทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการดำเนินนโยบายการค้าเสรี แต่นั่นก็เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่ง

ในความเป็นจริงโลกใบนี้ในช่วงรอยต่อของศตวรรษที่ 19 และ 20 นโยบายการค้าของมหาอำนาจและจักรวรรดิสำคัญยังไม่เป็นไปอย่างเสรีอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน