ระวังภัยทุกครั้ง ไม่พลาดพลั้งอุบัติเหตุ

สำหรับมืออาชีพแล้ว การวิเคราะห์ปัจจุบัน และอนาคต เป็นมากกว่าการทำงาน แต่เป็นการปฏิบัติที่อยู่ในวิถีของการใช้ชีวิต
คนไทยอาจจะรู้สึกชินชาต่อการเกิดอุบัติเหตุและความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน อาจจะตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้อ่านข่าว แต่ไม่ได้ตื่นตัวหรือตระหนัก งคงกลับไปใช้ชีวิตภายใต้ความเสี่ยงเหมือนเดิม นั่นเพราะเรายังไม่ได้รับการฝึกฝน จนมีสำนึกต่อความปลอดภัย หรืออาจเป็นเพราะว่าเราไม่เรียนรู้จากอดีต (เหตุที่เกิดขึ้นไปแล้ว) ไม่ใส่ใจปัจจุบัน (สภาพความเสี่ยง) และไม่สนใจสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (ผลสืบเนื่อง) จนกลายเป็นเหมือนว่าเรายอมรับมันเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
การที่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่เปิดไฟหน้า หรือยังคงใช้รถทั้งๆ ที่รู้ว่าหลอดไฟขาดแล้ว (ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าหรือไฟหลัง) แต่ยังคงขับขี่และใช้มัน แม้ในเวลาเย็นค่ำก็ตาม มันสะท้อนให้เห็นว่าชีวิตคนนั้นมีค่าน้อยกว่าราคาหลอดไฟดวงหนึ่งเท่านั้นเอง ดังนั้นในทุกวันหยุดเทศกาลของปี ที่มีการเดินทางสัญจรกันมาก บวกกับการขาดสติจากการสนุกสนานเกินขอบเขต หรือการดื่มแอลกอฮอล์เกินขีด มักเป็นผลให้สถิติอุบัติเหตุทางถนนสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆที่ในวันปกติก็มีมากอยู่แล้วก็ตาม
ความจริงแล้วหลายกรณีไม่ใช่อุบัติเหตุ (Accident) ที่เป็นเหตุการณ์อันเกิดจากสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่เป็นอุบัติการณ์ (Incident) ที่มาจากการขาดสำนึก และใช้ชีวิตด้วยความเสี่ยง ซึ่งความจริงแล้วอุบัติภัยเกิดขึ้นได้ทุกสถานที่และทุกเวลา สำหรับมืออาชีพแล้วการวิเคราะห์ปัจจุบัน และคาดการณ์อนาคต เป็นมากกว่าการทำงาน แต่เป็นการปฏิบัติที่อยู่ในวิถีของการใช้ชีวิตทีเดียว เพราะการระวังภัยต้องทำให้เกิดเป็นนิสัยให้ได้
ถ้าติดตามรายงานประชากรของญี่ปุ่น จะเห็นว่าเป็นชาติหนึ่งซึ่งมีผู้สูงวัยที่ยังมีร่างกายแข็งแรงสูงสุดติดอันดับโลก เรียกว่าชราอย่างมีคุณภาพจริงๆ ทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ยังคงใช้การได้ดีไม่มีบกพร่อง ทั้งนี้นอกจากเรื่องโภชนาการ และการออกกำลังกายแล้ว การระวังภัยและให้ความสำคัญกับอุบัติภัยเป็นสิ่งที่ทุกคนในชาติให้ความสำคัญ ดังนั้นเราจะเห็นแสง สี เสียง สัญลักษณ์ และอุปกรณ์ระวังภัยถูกติดตั้งและพร้อมใช้งานอยู่เสมอ “ลำพังภัยธรรมชาติก็มากและรุนแรงพอแล้ว อย่าให้มีภัยจากน้ำมือมนุษย์อีกเลย” นี่คือคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นที่ผู้เขียนได้มีโอกาสสนทนาด้วย
Kiken Yochi Training (KYT) Kiken (คิเค็น) แปลว่า อันตราย Yochi (โยจิ) แปลว่า วิเคราะห์ คาดการณ์ และ Training แปลว่า การฝึกฝน หรือ ฝึกอบรม ดังนั้นเมื่อพิจารณาความหมายโดยรวมของ KYT แล้ว คือ การฝึกฝนการคาดการณ์อันตรายในสถานที่ทำงาน ซึ่งถือว่าเป็นการฝึกระวังภัย การป้องกันอุบัติภัย หรือเป็นการสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยที่ดีและได้ผลเป็นอย่างยิ่ง
กิจกรรม KYT คิดค้นและพัฒนาขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการปฏิบัติงาน และลดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นวิถีปฏิบัติที่ใช้กันทั่วไปในโรงงานอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น และกำหนดไว้เป็นมาตรการด้านการสร้างจิตสำนึกความปลอดภัยที่สำคัญของ สมาคมสุขภาพและความปลอดภัยในอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (Japan Industrial Safety and Health Association)
โดยการฝึกฝนจะกระทำในสองลักษณะด้วยกันคือ ลักษณะที่หนึ่ง เป็นการฝึกจากรูปภาพหรือเหตุการณ์สมมติ โดยให้พนักงานรวมกันเป็นกลุ่มและพิจารณารูปภาพของสถานที่ทำงานแห่งหนึ่ง โดยจะมีหนึ่งคนเป็นผู้นำในการมองหาจุดอันตราย จากนั้นจะชี้นิ้วไปที่ตำแหน่งที่ไม่ปลอดภัยในรูปภาพ แล้วเปล่งเสียงออกมา อาทิ เป็นรูปภาพของพนักงานคนหนึ่งกำลังปีนบันได (แบบพาดกับผนัง) ขึ้นไปเพื่อปฏิบัติภารกิจบางอย่าง ผู้นำ KYT ก็จะชี้นิ้วไปที่บันไดนั้น แล้วเปล่งเสียงว่า “จับบันไดให้นิ่งทุกครั้ง ไม่พลาดพลั้งเกิดอุบัติเหตุ” แล้วพนักงานในกลุ่มคนที่เหลือก็จะพูดตามสามครั้ง โดยทำท่าชี้นิ้วไปยังตำแหน่งดังกล่าวพร้อมๆ กัน การฝึกปฏิบัติเช่นนี้ก่อนเริ่มงาน หรือก่อนเข้ากะทำงานเป็นประจำทุกวัน ก็จะทำให้พนักงานเกิดจิตสำนึกต่อความปลอดภัยโดยอัตโนมัติ ถ้าวิเคราะห์ตามหลักการพัฒนาสมอง เรียกว่าเป็นการกระตุ้นให้เกิดการโปรแกรมให้สมองรับรู้และตื่นตัวอยู่เสมอ
ลักษณะที่สอง เป็นการฝึกฝนในสถานที่จริง ซึ่งวิธีการนี้ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน แต่ทำเป็นรอบเวลาหรือครั้งคราวตามที่กำหนดไว้ในแผนงาน แต่บางแห่งก็ปฏิบัติกันเป็นประจำทุกวันแทนการฝึกจากรูปภาพ เพื่อเน้นย้ำและเตือนตนเองทุกครั้งก่อนลงมือทำงาน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสภาพที่พร้อมและปลอดภัย โดยการชี้นิ้วไปที่วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร หรือสถานที่ทำงานใดๆ พร้อมกับกล่าวว่า “ทุกอย่างพร้อมและปลอดภัย โอเค” เรียกการทำเช่นนี้ว่า “มือชี้ ปากย้ำ”
ทั้งนี้การฝึกฝนในลักษณะที่สองนี้ อาจจะทำเป็นกิจกรรมที่กระทำพร้อมกันไปในทุกแผนก หรือให้แต่ละแผนกกำหนดรอบเวลาของตนเอง และทำไปตามรอบนั้นๆ การทำพร้อมกันไปในทุกแผนกจะเสมือนเป็นกิจกรรมใหญ่ขององค์การ แต่ในแบบหลังที่ทำผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละแผนก ก็จะได้เรื่องของการตื่นตัวเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในบางองค์การก็กระทำทั้งสองวิธี โดยให้แต่ละแผนกเวียนกันไปในทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน แล้วกลางปีหรือปลายปีก็จัดเป็นกิจกรรมใหญ่หนึ่งครั้งที่ทำพร้อมกันไปในทุกแผนก อาจเรียกว่าเป็นวันความปลอดภัย (Safety Day) ก็ได้
อีกรูปแบบหนึ่งของการเฝ้าระวังความปลอดภัยที่ใช้ในองค์การชั้นนำในลักษณะเชิงนโยบาย (Top-down activity) ด้วยการเดินตรวจสอบสถานที่ทำงานในจุดต่างๆ โดยคณะผู้บริหาร (Safety patrol) มีการถ่ายภาพ และบันทึกข้อมูล จากนั้นจะนำจุดเสี่ยงต่างๆ มาวิเคราะห์เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งผลจากการประชุมสรุป อาจนำไปสู่การออกแบบ ติดตั้ง และจัดการสถานที่ทำงานให้ปลอดภัยใหม่ในขั้นสูงสุด ซึ่งแน่นอนองค์การที่ต้องการความปลอดภัยสูงก็จะให้ความสำคัญและลงทุนกับสิ่งนี้ เพราะในการเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งอาจนำความสูญเสียอย่างมากมาสู่องค์การ ไม่เพียงแต่ทรัพย์สินเทานั้น แต่ชีวิตของพนักงานสำคัญที่สุด
ความจริงแล้วไม่ใช่เพียงเรื่องของการระวังภัย และการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดอุบัติภัยโดยไม่คาดคิด หรืออาจจะเนื่องมาจากความประมาทก็ตาม เหตุการณ์นั้นๆ จะต้องถูกบันทึกไว้ในรูปของรายงาน (Accident report) ที่จะบรรยายตั้งแต่สภาพแวดล้อม สถานที่ และลักษณะการเกิดเหตุ จากการบันทึกนี้จะทำให้เห็นถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสียหาย และจะนำรายละเอียดทั้งหมดมาใช้ในการกำหนดมาตรการป้องกันต่อไป
ด้วยเหตุนี้มูลเหตุหรือปัจจัยที่จะทำให้เกิดอันตรายก็จะลดน้อยลงไปเรื่อย จนแทบจะเกิดได้ยากมากในอนาคต ยกเว้นเสียแต่ว่าผู้ปฏิบัติงานจะละเลย เพิกเฉย หรือไม่ให้ความสำคัญเท่านั้น







