ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง : บทเรียนจากต่างประเทศ

ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง : บทเรียนจากต่างประเทศ

หลายวันมานี้ ประเด็นเรื่องความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กลายเป็นเรื่องหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ส่วนหนึ่งก็มาจากท่าทีของฝั่งรัฐบาลที่ต้องการให้ ธปท.ให้ความสำคัญกับข้อเรียกร้องของรัฐบาล

หากท่าทีดังกล่าวเป็นแค่การแสดงความเห็นก็ไม่น่ากังวลนัก แต่หากนำไปสู่การแทรกแซงจนส่งผลต่อความเป็นอิสระของ ธปท.จริง ก็จะต้องมีคำอธิบายที่ดีพอ เพราะเป็นการละเมิดหลักการสำคัญเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางและการดำเนินนโยบายการเงินอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและปกป้องความเป็นอยู่ของประชาชน

มีตัวอย่างของการแทรกแซงการทำงานของธนาคารกลางในหลายประเทศ และมักจะจบลงไม่ค่อยสวยสักเท่าไร บทเรียนจากเวเนซุเอลา ตุรกี และอาร์เจนตินา น่าจะเป็นกรณีศึกษาที่ดีในเรื่องนี้

ในกรณีของเวเนซุเอลา รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร สั่งให้ธนาคารกลางพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อจ่ายเป็นเงินอุดหนุนและค่าใช้จ่ายภาครัฐ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงถึง 1,000,000% ในปี 2561 ค่าเงินโบลิวาร์ลดค่าลงอย่างมหาศาล ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หดตัวถึง 35% ในช่วงปี 2556-2561 ถือเป็นการหดตัวทางเศรษฐกิจที่มีความรุนแรง

นอกจากนี้แล้ว การแทรกแซงของรัฐบาลยังส่งผลให้ปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศลดลงอย่างมากจาก 21,500 ล้านดอลลาร์ในปี 2556 เหลือเพียง 8,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2561

สำหรับผลกระทบที่ขึ้นต่อประชาชนในประเทศนั้น รายงานจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 7.4% ในปี 2558 เป็น 35% ในปี 2561 ขณะที่สัดส่วนประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนพุ่งสูงขึ้นจาก 48% เป็น 90% ในช่วงเวลาเดียวกัน การขาดแคลนอาหาร ยา และสินค้าจำเป็นอย่างหนัก

ประชากรเวเนซุเอลากว่า 3 ล้านคนต้องอพยพออกนอกประเทศเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้น ก่อให้เกิดวิกฤติผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกตะวันตก

ตุรกี เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผลกระทบที่เกิดจากการแทรกแซงการทำงานของธนาคารกลาง เรื่องนี้เกิดจากการที่ประธานาธิบดีเรเซป ทายยิป แอร์โดอัน มีความเชื่อที่ขัดแย้งกับหลักการทางเศรษฐศาสตร์ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะนำไปสู่เงินเฟ้อที่สูงขึ้น จึงกดดันให้ธนาคารกลางตุรกี (CBRT) ลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าในปี 2564 อัตราเงินเฟ้อของตุรกีจะสูงถึง 19.25% ผลจากการแทรกแซงนี้ทำให้ค่าเงินลีราตุรกีอ่อนค่าลงกว่า 40% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปีเดียวกัน ส่งผลให้ประชาชนต้องเผชิญกับภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากตุรกีพึ่งพาการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นหลัก

นอกจากนี้แล้ว ความไม่มีเสถียรภาพของค่าเงินและระดับเงินเฟ้อที่สูงยังส่งผลเสียต่อการลงทุน การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความน่าเชื่อถือของนักลงทุนต่างชาติ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติตุรกีระบุว่า

อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของตุรกีลดลงจาก 7.4% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 เหลือเพียง 2.7% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 ขณะที่ตามรายงานของธนาคารกลางตุรกี ในปี 2563 มีเงินทุนไหลออกจากตุรกีสูงถึง 5.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1.3 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า

อาร์เจนตินา เป็นอีกประเทศหนึ่งของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแทรกแซงนโยบายการเงินโดยรัฐบาล ในปี 2561 เมื่อธนาคารกลางอาร์เจนตินาพยายามควบคุมเงินเฟ้อที่สูงถึง 34.3%

โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงถึง 40% แต่ประธานาธิบดีเมาริซิโอ มาครี กลับสั่งให้ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งขัดแย้งกับความพยายามในการรักษาเสถียรภาพราคาและควบคุมหนี้สาธารณะไม่ให้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

การแทรกแซงนี้ทำให้นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจอาร์เจนตินา ส่งผลให้มูลค่าเงินเปโซอาร์เจนตินาร่วงลงอย่างหนัก โดยในปี 2561 เงินเปโซอ่อนค่าลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับดอลลาร์และทำให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศเป็นมูลค่ากว่า 27,000 ล้านดอลลาร์ภายในปีเดียว

ผลจากการสูญเสียความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและความไม่มีเสถียรภาพของสถานการณ์ทางการเงิน ทำให้อาร์เจนตินาเผชิญกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยในปี 2561 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอาร์เจนตินาหดตัวลง 2.5% และในปี 2562 หดตัวลงถึง 3.1%

อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นจาก 7.2% ในปี 2560 เป็น 10.6% ในปี 2562 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 53.8% ในปี 2562 ความยากลำบากทางเศรษฐกิจนี้ส่งผลให้ประชากรกว่า 35% ของอาร์เจนตินาตกอยู่ในสภาวะความยากจน

จากบทเรียนข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า เหตุใดเราจึงควรให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นอิสระของธนาคารกลาง โดยการสร้างกลไกถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายการเมืองและสถาบันการเงิน ประเทศไทยเองก็จำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญของความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย

การกำหนดนโยบายการเงินควรให้น้ำหนักกับปัจจัยทางเศรษฐกิจมากกว่าปัจจัยทางการเมือง เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนในระยะยาว