โควิด กับ ไฮบริด

โควิด กับ ไฮบริด

ต้นปี 2563 ชาวโลกตั้งตัวไม่ติด เพราะโควิดเป็นเหตุ แต่โชคดีที่เทคโนโลยีช่วยให้เราทำงานที่บ้านได้

สมัยนั้นการอยู่บ้าน กลายเป็นการช่วยชาติ ไม่มียุคใดสมัยใดที่เราจะรักชาติได้ ด้วยวิธีง่ายๆแบบนี้อีกแล้ว!

สองปีกว่าที่ผ่านมา เราจึงคุ้นเคยกับการ “ทำงานที่บ้าน” (wfh) และบางคนก็คุ้นเคยกับการ “ทำงานจากที่ไหนก็ได้” ด้วยซ้ำไป

ในช่วงที่โควิดระบาดอย่างน่ากลัวที่สุด เราคิดว่าวิถีการทำงานของเราจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตอนนั้น เราเชื่อว่า ออฟฟิศจะมีแนวโน้มว่างเปล่า คอนโดในเมืองจะมีคนซื้อน้อยลง บ้านเดี่ยวชานเมือง จะมียอดขายเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อทำงานจากที่บ้านได้ อยู่ไกลหน่อยก็ไม่เป็นไร

แต่วันนี้ เปิดประเทศแล้ว และทั้งๆที่โควิดยังระบาดไปทั่ว แต่ผู้คนกลับกลัวโควิดน้อยลง ธุรกิจเริ่มฟื้น และรถราเริ่มติดอีกแล้ว 

ถ้างั้น ออฟฟิศยุคนี้ พนักงานควรกลับมาทำงาน 100% ได้หรือยัง หรือให้ wfh กันต่อไป แค่ไหน และเพียงใด? 

สองปีที่เรา wfh กันนั้น พนักงานมีเวลาใกล้ชิดครอบครัวมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการแต่งตัวและการเดินทาง ไม่อารมณ์เสียจากการจราจร ประหยัดเวลาเดินทาง ฯลฯ ถือว่าเป็นข้อดี

แต่หลายคนก็บ่นว่า การทำงานที่บ้านกลายเป็นต้องประชุมต่อเนื่อง ต้องอยู่หน้าจอจนบางครั้งไม่มีเวลาพักทานอาหาร ไม่ได้เจอเพื่อนร่วมงาน เหงา พนักงานใหม่ปรับตัวไม่ได้ เพราะไม่เคยพบหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานแบบตัวเป็นๆเลย ฯลฯ

สรุปคือ wfh มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคม โควิดอาจจะแยกเราได้ชั่วคราว แต่แยกถาวรเรายอมไม่ได้ เรายังอยากพบปะผู้คนในบรรยากาศที่ทำงานบ้าง 

ที่ผ่านมา ต้องถือว่าเป็นการทดลองรูปแบบการทำงาน ซึ่งมีหลายรูปแบบ เราปรับการ  wfh  เป็นแบบ 80% 60% 50% 40% ฯลฯ และมีการสำรวจความเห็นพนักงานและผู้บริหาร เป็นระยะๆ  ซึ่งก็ได้ความเห็นที่แตกต่างกันไป 

เมื่อเดือนพ.ค.ปีนี้ Apple ประกาศนโยบายให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ สัปดาห์ละ 3 วัน ปรากฎว่าหัวหน้าทีม Machine Learning รับไม่ได้และลาออกไปอยู่ Google ซึ่งยืดหยุ่นกว่า

ในขณะที่ Starbucks ก็พยายาม “ขอร้อง” ให้พนักงาน มาทำงานที่ออฟฟิศมากขึ้น แต่ที่ตรงกันข้ามคือ Elon Musk ซึ่งประกาศให้พนักงาน “กลับมาทำงานออฟฟิศ หรือไม่ก็ลาออกไปซะ”

แสดงว่าองค์กรต่างๆ ก็ยังไม่ลงตัว และยังมีหลากหลายประเด็นให้ขบคิดกันต่อไป เพื่อหารูปแบบการทำงานที่เหมาะสมที่สุด

นายจ้างบางคน อยากให้พนักงานกลับมาทำงาน  100%  แต่บางคนคิดว่าเข้ามา  60% - 80%  ก็พอเป็นไปได้ จะได้ลดพื้นที่ทำงานบางส่วน เสียค่าเช่าน้อยลง พูดง่ายๆคือมีวิธีคิดแตกต่างกันไป เราก็ต้องเข้าใจ

พนักงานบางคนคิดว่า การเข้าออฟฟิศมากขึ้นก็ไม่เป็นไร เพราะก่อนโควิด ก็ต้องเข้าทุกวันอยู่แล้ว แต่มีผลสำรวจบางแห่ง บอกว่าถ้าต้องกลับเข้าออฟฟิศทุกวัน คนหนุ่มสาว บางคน อาจคิดหางานใหม่ก็ได้

ตรงนี้ก็เข้าใจ เพราะไม่มีใครห้ามความคิดใครได้

ในเมื่อองค์กรต่างๆ ยังพยายามหาแนวปฎิบัติที่เหมาะสม และยังไม่มีคำตอบที่ดีที่สุด แล้วการทำงานออฟฟิศต่อจากนี้ไป น่าจะเป็นเช่นใด

ผมคิดว่า คำตอบที่น่าจะชัดเจนแล้วในขณะนี้ ก็คือ “ไฮบริด” ครับ เพราะถึงแม้เทคโนโลยี จะทำให้เรา wfh ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรมาทดแทนความเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ได้ ดังนั้น “ทางสายกลาง” จึงน่าจะดีที่สุด

แต่ “ทางสายกลาง” ไม่ได้แปลว่า ทำงานในออฟฟิศ  50%  และ  wfh 50% เป๊ะๆนะครับ เพราะสัดส่วนที่เหมาะสม ย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะงาน วิธีคิด และอารมณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้อง คือนายจ้าง พนักงาน รวมทั้งแนวปฎิบัติในอุตสาหกรรมนั้นๆด้วย

ออฟฟิศแบบไฮบริด อาจจะเริ่มด้วยการ wfh สัปดาห์ละ 1 หรือ 2 วัน ซึ่งพนักงานก็น่าจะพอใจ  เพราะยังได้เวลาส่วนนั้นที่ยืดหยุ่นพอสมควร ดีกว่าสมัยก่อน ที่ต้องไปออฟฟิศทุกวัน

จากนั้น ค่อยๆปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม เพื่อให้พนักงาน  เพื่อนร่วมงาน และผู้บังคับบัญชา  มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันที่ออฟฟิศ แบบ “ตัวเป็นๆ” มากขึ้น

สำคัญก็คือต้องไม่กระทบต่อผลงาน และความสุขของพนักงาน  รวมทั้งคุณภาพในการให้บริการลูกค้า นอกจากนั้น อาจจะพิจารณาให้มีวันใดวันหนึ่งในแต่ละสัปดาห์ ที่ทุกคนจะเข้าออฟฟิศ พร้อมกัน ก็ได้

จะได้มีโอกาสพบปะ  ประชุม  ทักทาย มอบหมายงาน สอนงาน สื่อสารกันอย่างเต็มรูปแบบ ฯลฯ

ตัวอย่างเช่น อาจกำหนดให้ทุกคนเข้าออฟฟิศในวันศุกร์ ส่วนวันจันทร์-พฤหัสบดี นั้น พนักงานจะใช้ 1 หรือ 2 วันใด ในการ wfh ก็ได้ โดยความเห็นชอบของหัวหน้างาน 

วันที่เข้าออฟฟิศ 3-4 วัน และวันที่ wfh 1-2 วัน จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอย่างไร ก็ว่ากันเป็นกรณีๆไป แต่สำคัญที่สุดคือ ผลงานขององค์กร ต้องไม่ตกต่ำไปจากเดิม และถ้าหากทำได้ดี พนักงานมีความสุขมากขึ้น ผลงานก็ควรจะต้องดีขึ้นด้วย

ขอย้ำนะครับ นี่ไม่ใช่สูตรสำเร็จ เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น ส่วนจะดีหรือไม่ เหมาะสมเพียงใด ปฎิบัติได้หรือไม่ แต่ละองค์กรต้องไปประยุกต์ใช้กันเองครับ 

ผมพูดเพียงว่า การทำงานหลังโควิดนั้น “ไฮบริด” น่าจะเหมาะสมที่สุด แต่สัดส่วนการเข้าทำงานในออฟฟิศ ที่นายจ้าง หัวหน้างาน  และพนักงาน มีความสุข และผลงานยังเป็นเลิศ ต้องไปกำหนดกันเอง

เท่านั้นแหละครับ