ค่าของเศษเงิน และเศษของเวลา

ค่าของเศษเงิน และเศษของเวลา

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกๆท่าน ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับน้องคนหนึ่ง พอดีมีประเด็นที่ผมว่าน่าสนใจ

เลยตั้งใจว่าจะมาเขียนให้ท่านผู้อ่านเผื่อเป็นประโยชน์ คือน้องคนนี้เล่าให้ฟังว่า ความตั้งใจช่วงปีใหม่ปีนี้เขาตั้งเป้าว่าจะกลับมาเป็นนักเรียนอีกครั้ง และเขาจะเรียนรู้ด้วยความกระหาย ซึ่งตั้งแต่ปีใหม่มาน้องเขาลงคอร์สออนไลน์ไปได้ 6 คอร์สซึ่งเป็นคอร์สสั้น ๆ แต่เป็นเรื่องที่เขาอยากรู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำการตลาดดิจิทัล การเขียนคอนเทนต์ ไปจนถึงการใช้โปรแกรมเพื่อช่วยในการทำงาน เช่น Power BI หรือการใช้ Data Studio เพื่อนำมาทดแทนการทำรีพอร์ตแบบเดิม ๆที่น้องเขาต้องทำอยู่เป็นประจำ ทั้งเพื่อเสนอหัวหน้าและเสนอต่อลูกค้า นอกจากนั้นเขายังอ่านหนังสือจบไปกว่า 15 เล่ม

ผมถามน้องเขาว่าแล้วเอาเวลาไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะผมเห็นวัน ๆเขาทำงานหนักเหมือนเดิมหรือบางทีก็หนักกว่าอีก เขาตอบว่าเขาใช้ความมุ่งมั่น บวกกับวิธีที่เขาเรียกว่า “ยึดเวลา” เขาขยายความว่า ความมุ่งมั่นที่จะทำตามสิ่งที่เราตั้งใจไว้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าเราไม่มีสิ่งนี้แล้วต่อให้เรามีเวลาเยอะแยะเราก็อาจไม่ได้เรียนหรืออ่านหนังสือเพราะมัวแต่เอาเวลาไปทำอย่างอื่นหมด พอเวลาผ่านไปครบปีและเรามองย้อนกลับไปดูจะพบว่าเราไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย ดังนั้นพอเรามีความมุ่งมั่นที่จะทำตามความตั้งใจของเราที่ตั้งไว้เราสามารถเปลี่ยนเวลาที่เคย “หายไป” ให้กลับคืนมา อีกประเด็นหนึ่งคือเขาลองมาสำรวจเวลาที่หายไปแล้วพิจารณาดูว่าจะสามารถยึดกลับคืนมาเป็นเวลาเพื่อ “เรียน” ได้มากน้อยแค่ไหน พอนั่งจดมันขึ้นมาเขาก็พบว่าสามารถ “ยึด” เวลากลับมาได้ อย่างแรก ๆเช่นตอนกลางคืนที่เมื่อก่อนเคยนั่งไถเฟซบุ๊ค ดูยูทูป ดูซีรี่ย์ เพราะคิดว่าเป็นการพักผ่อนหลังทำงานมาหนักทั้งวัน พอเขายึดมันกลับมาเปลี่ยนเป็นเรียนคอร์สออนไลน์ หรืออ่านหนังสือเขาสามารถยึดเวลากลับมาได้สำเร็จ แถมยังไม่รู้สึกเครียดเพิ่มขึ้นอย่างที่เคยคิดไว้ เพราะเนื้อหาที่เรียนก็เป็นสิ่งที่เขาอยากรู้ แต่ผัดวันมาโดยตลอด และการเรียนออนไลน์เดี๋ยวนี้มีข้อดีคือเริ่มเมื่อไหร่หยุดเมื่อไหร่ก็ได้แล้วแต่เรา และวิธีการสอนก็ไม่น่าเบื่อ หรือถ้าตอนไหนเบื่อหรือเรารู้อยู่แล้ว เราก็แอบไปทำอย่างอื่นๆสั้นๆได้ และยิ่งเดี๋ยวนี้เราสามารถค้นหาสิ่งที่เราไม่รู้หรืออยากรู้ไปพร้อมๆกันได้

นอกจากเวลากลางคืนแล้วตอนเดินทางไปทำงานซึ่งปกติใช้รถไฟฟ้าไปกลับก็ชั่วโมง เดิมเขาใช้เวลานี้หมดไปกับการนั่งเหม่อหรืออ่านไลน์ ไถเฟซบุ๊ค ไปตามเรื่อง แต่พอยึดมันและเปลี่ยนมาอ่านหนังสือ เขาสามารถอ่านหนังสือแบบสั้นถึงกลางๆจบได้ภายในสัปดาห์ เท่ากับว่าเดือนหนึ่งเขาอ่านหนังสือได้ 4 เล่ม นี่แค่เป็นตัวอย่างบางส่วนที่น้องเขาสามารถยึดเวลากลับมาเพื่อทำในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ และมันก็ส่งผลบวกต่อน้องทั้งในแง่ของผลการทำงานที่ดีขึ้น และความรู้ที่เพิ่มขึ้นเวลาคุยกับเพื่อนหรือลูกค้าก็สามารถคุยได้หลากหลายเรื่องเป็นการเพิ่มสีสันที่ดี

จากแนวคิดเรื่องการยึดเวลากลับมา(เรามีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันไม่สามารถลดและเพิ่มได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนสิ่งที่ทำได้) ผมก็คิดต่อว่าถ้าเราสามารถ ยึด เงินของเรากลับคืนมา มันจะสามารถทำให้เกิดผลประโยชน์มากขึ้นได้แค่ไหน ในแต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่เราไม่สามารถยึดกลับมาได้เพราะเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็น แต่มีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่เราสามารถยึดกลับมาได้ ลองสมมติว่าปกติเราทานกาแฟทุกวัน หรือบางวันยังมีแถมเป็นชานมอีก ถ้าเรายึดค่าใช้จ่ายนี้กลับมา (โดยเปลี่ยนมาเป็นดื่มกาแฟที่ทำงานแทน หรือลดจำนวนแก้วลง) เราจะได้เงินคืนมา 50-60 บาทต่อวัน ถ้าเราเป็นคนชอบเสี่ยงดวงจากการซื้อล็อตเตอรี่ ถ้าเรายึดค่าใช้จ่ายนี้กลับมา เสี่ยงดวงกับการลงทุนแทนเราก็จะได้เงินมาอีกเดือนละ 200 บาท หรือถ้าเรามีนัดสังสรรค์กับเพื่อนๆทุกๆสัปดาห์เราลดลงมาสัก 1 ครั้ง เราอาจได้เงินคืนมา 500 บาท เอาเฉพาะแค่นี้เดือนหนึ่งเราจะยึดเงินคืนมาได้เดือนละ 2200 บาท 1 ปี เท่ากับ 26400 บาท สมมติว่าเราเกษียณอีก 30 ปีเราจะมีเงินเพิ่มขึ้นมาอีก 792000 บาท และถ้าเรานำเงินที่ได้ไปลงทุนในพอร์ตที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 5 ในอีก 30 ปีเราจะมีเงินเกษียณเพิ่มขึ้นมาจากเงินสำรองเลี้ยงชีพหรือเงิน RMF/SSF ของเราอีก ประมาณ 1.7 ล้าน

ค่าของเศษเวลาและเศษเงินที่บางทีเราคิดว่าไม่สำคัญ แต่เมื่อเราเปลี่ยนมาเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่า เศษของเวลาและเศษของเงินนี้ก็จะมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างที่เราไม่เคยคิดมาก่อน แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องมี ความมุ่งมั่น ก่อนเป็นอันดับแรก

ท้ายสุดนี้ผมก็ขออวยพรให้ท่านผู้อ่านทุกๆท่านมีความสุขและโชคดีกับการลงทุนครับ