ผู้นำกับ CSR ที่ยั่งยืน
การเคลื่อนไหวและแรงกดดันจากสังคม ร่วมกับกระบวนการของผู้บริโภคที่เข้มแข็งมากขึ้น เป็นเหตุให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม (ใหญ่ๆ) ไม่อาจนิ่งเฉย
ปัจจุบันสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีการเคลื่อนไหวและแรงกดดันจากสังคมร่วมกับกระบวนการของผู้บริโภคที่เข้มแข็งมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหาด้านคุณธรรมและ จริยธรรมในการบริหารจัดการ ตลอดจนความรับผิดชอบต่อปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม เป็นเหตุให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม (ใหญ่ๆ) ไม่อาจนิ่งเฉยอีกต่อไป
ทุกวันนี้ ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมจึงต้องสร้างสมดุลระหว่าง “การทำกำไร” กับ “การสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคม” องค์กรต่างๆ จึงมีการเชื่อมโยง “ความสามารถในการแข่งขัน” เข้ากับ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” (Corporate Social Responsibility : CSR) และด้วยการสร้าง “คุณค่า” ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดขององค์กร ซึ่งแสดงถึงแนวทางในการบริหารธุรกิจรูปแบบใหม่ (การสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างองค์กรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อการบรรลุความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจพร้อมๆ กับสามารถแก้ปัญหาสังคมได้ด้วย)
นักวิชาการได้แบ่ง “ความรับผิดชอบต่อสังคม” (CSR) ออกเป็น 4 ระดับ คือ ตั้งแต่ความรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ ด้านกฎหมาย ด้านจริยธรรม และด้านการให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
ในขณะที่ “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” (ตลท.) ได้กำหนดแนวทางของ CSR สำหรับบริษัทจดทะเบียนฯ โดยแบ่ง “ความรับผิดชอบต่อสังคม” (CSR) ออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับข้อบังคับ เบื้องต้น ปกป้อง และสมัครใจ
กิจกรรม CSR ที่นิยมสร้างเสริมกันทั่วไปในองค์กรต่างๆ สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 ประเภทด้วยกัน คือ (1) การส่งเสริมประเด็นสังคม (Cause Promotion) (2) การตลาดที่เกี่ยวโยงกับประเด็นสังคม (Cause-Related Marketing) (3) การตลาดเพื่อแก้ปัญหาสังคม (Corporate Social Marketing) (4) การบริจาคเพื่อการกุศล (Corporate Philanthropy) (5) การอาสาช่วยเหลือชุมชน (Community Volunteering) (6) การประกอบธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคม (Socially Responsible Business Practices) และ (7) การพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการตามกำลังซื้อของคนในระดับฐานราก (Developing and Delivering Affordable Products and Services)
ในความเห็นของนักวิชาการแล้ว กิจกรรม CSR จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ค่านิยมขององค์กร” อย่างมาก เพราะ “ค่านิยม” (Value) จะทำให้ปฏิบัติการต่างๆ ของพนักงานในองค์กรเป็นไปในทิศทางที่กำหนดไว้
แต่ในมุมมองของนักปฏิบัติแล้ว ผู้นำที่มีประสิทธิผลต้องจะสามารถเชื่อมต่อวิสัยทัศน์และค่านิยมให้เข้ากันได้อย่างกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน และสามารถโน้มนำให้พนักงานทุกระดับมีความเชื่อมั่นในการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ โดยมี CSR เป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมและเป้าหมายขององค์กรด้วย
ดังนั้น ผู้นำจึงต้องสามารถทำให้ผู้ตามเกิดความศรัทธาและเชื่อมั่น เพื่อดำเนินการต่างๆ ไปสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์และค่านิยมที่ทุกคนในองค์กรยึดถือ
ผู้นำที่มีค่านิยมทางด้านความรับผิดชอบต่อสังคม จึงมีอิทธิพลต่อค่านิยมที่รับผิดชอบต่อสังคมของผู้ตามด้วย
ผู้นำขององค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมในปัจจุบัน นอกจากต้องรับผิดชอบต่อต้นทุน คุณภาพ การบริการ ความรวดเร็วในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า และกำไรขาดทุนขององค์กรแล้ว ยังจะต้องดำเนินธุรกิจด้วยการประกอบกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยการพิจารณาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเลือกใช้วัตถุดิบ เลือกกระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการ เลือกการจัดเก็บและขนส่งสินค้า รวมตลอดถึงการรณรงค์ให้พนักงานในองค์กรและผู้คนในสังคมมีความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกันด้วย
เพราะฉะนั้น CSR ที่ทำด้วย “ค่านิยมร่วม” และทำอย่างต่อเนื่องจริงจังเท่านั้น จึงจะนำไปสู่ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” และทำให้ “ภาพลักษณ์ขององค์กร” เป็นที่ยอมรับของสังคม ครับผม !