การคุ้มครองผู้ใช้บัตรเครดิต:แนวคำพิพากษาศาลฎีกา

การคุ้มครองผู้ใช้บัตรเครดิต:แนวคำพิพากษาศาลฎีกา

การคุ้มครองคุ้มครองผู้บริโภคที่ใช้บัตรเครดิต นอกเหนือจากสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคที่ให้การคุ้มครองเรื่องสัญญาแล้ว มีหน่วยงานหลักคือ คือ ธปท.

ธปท.หรือธนาคารแห่งประเทศไทย มีหน้าที่กำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต แล้วก็ยังคุ้มครองผู้บริโภคที่ใช้บัตรเครดิต ไม่ให้ใช้จ่ายเกินตัว และไม่ให้ถูกเอาเปรียบด้วย

                     การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและการคุ้มครองผู้บริโภคผู้ใช้บัตรเครดิตของธนาคารแห่งประเทศไทย ใช้อำนาจตามกฎหมายคือในกรณีผู้ประกอบการเป็นสถาบันการเงินจะเป็นไปตามพระราชบัญญัติสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 ในกรณีผู้ประกอบการที่ไม่ใช่สถาบันการเงินเป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ5 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่58 (เรื่อง ธุรกิจบัตรเครดิต) ลงวันที่30กรกฎาคม2563

                        ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศที่ สนส.11/2563 เรื่องการกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ลงวันที่31 กรกฎาคม2563 ออกใช้บังคับ

               สาระสำคัญ

               ในการยื่นขออนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ที่ต้องยื่นขออนุญาตต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ5แห่งประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่58(เรื่องธุรกิจบัตรเครดิตให้ยื่นผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย

              หลักการคุ้มครองเป็นการทั่วไป

             ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแล ตามหลักการ ที่สำคัญโดยสรุปดังนี้

            การออกบัตรเครดิตควรพิจารณาให้แก่ผู้มีแหล่งรายได้หรือมีความสามารถเพียงพอในการชำระหนี้ ไม่กระตุ้นการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น และคำนึงถึงความสามารถในการดำรงชีพของผู้บริโภคด้วย โดยมีการกำหนดคุณสมบัติผู้ถือบัตรเครดิต มีเงื่อนไขเดี่ยวกับรายได้ และวงเงินไว้ในข้อ5.4.1

              การเรียกเก็บดอกเบี้ย เบี้ยปรับ ค่าปรับ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียม แลค่าใช้จ่ายใดฯจากผู้บริโภคให้คำนึงต้นทุนที่แท้จริง ในอัตราที่เป็นธรรม ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค โดยมีการกำหนดอัตรา การเรียกเก็บดอกเบี้ย เบี้ยปรับ ค่าปรับ ค่าบริการค่าธรรมเนียมใดฯและค่าใช้จ่ายอื่นฯ ในข้อ5.4.3

            การดูแลคุ้มครองผู้บริโภคที่ทำธุรกรรมโดยใช้บัตรเครดิต

       เป็นไปตามตามเอกสารแนบ3 ท้ายประกาศฯ ซึ่งกำหนดไว้ที่สำคัญฯมี ดังนี้

               นอกจากการถือปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการบริหารจัดการด้านการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรมแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจต้องถือปฏิบัติเพิ่มเติม ดังนี้

          การเปิดเผยข้อมูล

          การเปิดเผยอัตราดอกเบี้ย เบี้ยปรับ ค่าปรับ ค่าบริการค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น เกี่ยวกับบัตรเครดิต ต้องทำให้มั่นใจว่าผู้บริโภคได้รับทราบและเข้าใจรายละเอียดอย่างชัดเจน

               การเรียกให้ชำระหนี้และติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ 

             การผ่อนชำระหนี้เป็นงวด

                        ต้องให้ผู้บริโภคชำระหนี้ขั้นต่ำไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของยอดคงค้าง

            การคิดดอกเบี้ย ค่าบริการต่างฯ เบี้ยปรับ ฯ

                  ให้แสดงรายละเอียดการคำนวณรายการดังกล่าวในใบแจ้งหนี้ด้วย                                   

                  คำพิพากษาศาลฎีกาที่5480/2550     โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ จำเลยกู้เงินสินเชื่อเพื่ออยู่อาศัยซึ่งเรียกเก็บดอกเบี้ยได้ไม่เกินปีละ13.5% และมีอัตราดอกเบี้ยผิดนัดกำหนดไว้ 19% ต่อปีโจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง บางรายการคิด 19% ต่อปีบ้าง บางรายการ 19.5%ต่อปี และคิดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต24%ต่อปี จึงเป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดและเกินประกาศของโจทก์เอง เท่ากับไม่มีการตกลงเรื่อดอกเบี้ยการคิดดอกเบี้ยของโจทก์จึงเป็นโมฆะ ต้องนำเงินที่จำเลยชำระไปแล้วไปหักเงินต้น

            การแจ้งเตือน

             ต้องมีการแจ้งเตือนผู้บริโภคที่ผิดนัดชำระหนี้ก่อนดำเนินการบังคับชำระหนี้ตามกฎหมาย โดยต้องมีระยะเวลาที่เพียงพอให้ผู้บริโภคได้ตรวจสอบแบะโต้แย้งรายการดังกล่าว

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้     คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13756/2556     การวินิจฉัยข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองนั้น ต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ คดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและไม่ได้สืบพยานที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 หยิบยกเอาประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ประกาศ ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน2545 และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตสำหรับผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตมาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้มีหนังสือเตือนจำเลยล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 20 วันก่อนดำเนินการบังคับชำระหนี้ตามกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เนื่องจากประกาศทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง เมื่อไม่ปรากฏในสำนวนคดี ศาลไม่อาจรับฟังมาวินิจฉัยข้อกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ได้        

               การเปลี่ยนประเภทหนี้

               ห้ามผู้ประกอบธุรกิจโอนหนี้หรือเปลี่ยนประเภทหนี้บัตรเครดิตไปเป็นหนี้บัญชีเดินสะพัดหรือหนี้ตามสัญญาสินเชื่อประเภทอื่น  เว้นแต่ผู้ประกอบธุรกิจจะปฏิบัติตามเงื่อนไข

              ที่สำคัญคือต้องได้รับความยินยอมจากผู้บริโภคก่อน                     

           การเปลี่ยนประเภทหนี้บัตรเครดิตไปเป็นหนี้ประเภทอื่นอาจมีอายุความยาวขึ้น ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบ

              คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2484/2556     จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคาร ม. จำกัด (มหาชน) เบิกเงินด้วยเช็คที่ได้รับจากธนาคารเพียง 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 22 และ 28 สิงหาคม 2534 เป็นเงิน3,100 บาท และ 3,000 บาท เฉพาะส่วนนี้เท่านั้นถือว่าเป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดซึ่งมีอายุความ 10 ปี แต่ตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันดังกล่าวมีข้อตกลงว่าเป็นการเปิดบัญชีเพื่อวีซ่าและในข้อ 14 วรรคสอง ระบุว่า ในกรณีจำเลยมีภาระหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ธนาคาร จำเลยตกลงให้โอนมาหักกลบลบหนี้

พยานโจทก์เบิกความว่า  นอกจากการใช้เช็คเบิกถอนเงิน 2 รายการดังกล่าวแล้ว จำเลยมิได้ใช้เช็คเบิกถอนเงินอีก รายการเป็นหนี้ต่อมาล้วนเป็นการถอนเป็นเงินโอนที่ใช้รหัส X W D จึงมีเหตุผลให้เชื่อว่าเป็นการโอนเงินเพื่อชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตวีซ่าทั้งสิ้นแม้จะมีข้อตกลงให้ธนาคาร ม. จำกัด (มหาชน) หักบัญชีหรือโอนเงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไปชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิต แต่จะให้ถือว่าหนี้ดังกล่าวกลายเป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดซึ่งมีอายุความ 10 ปี ด้วยหาได้ไม่ ต้องถือว่ายังคงเป็นหนี้ตามสัญญาที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตอยู่เช่นเดิมซึ่งมีอายุความ 2 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยนับถึงวันฟ้องเกิน 2 ปี จึงขาดอายุความ เฉพาะหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดในต้นเงิน 6,100 บาท ซึ่งมีอายุความ 10 ปี เท่านั้นจึงไม่ขาดอายุความ///////