ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น

ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น

ผมจำได้ว่า วันที่ผมสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ (พ.ศ.2516) คุณพ่อผมยังใช้ “ลูกคิด” ในการทำมาค้าขายอยู่เลย

ทุกวันนี้ผมยังจำเสียงลูกคิดที่ดีดโดนกันได้อย่างแม่นยำ ยิ่งดีดลูกคิดดังรัวและนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายถึง รายได้ จากการขายดีมากเท่านั้น

ผมใช้ Slide Rule เมื่อเรียนวิศวะปีหนึ่ง ตอนนั้นเครื่องคิดเลขยังไม่มี ผมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องประมวลผลขนาดใหญ่กว่าตึกแถวสองห้องตอนปีสาม  และใช้อุปกรณ์ต่างๆ อีกมากมายที่จัดว่าทันสมัยในสมัยนั้น  ซึ่งไม่มีให้เห็นอีกแล้วในสมัยนี้

ใครจะไปเชื่อว่าจนถึงวันนี้ (เกือบ 50 ปีแล้ว) เทคโนโลยีของโลกจะเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนี้ เพราะมีโทรศัพท์มือถือที่ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้มากมาย จนโทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตแล้ว

วันนี้ แม้บทบาทของ ผู้นำจะเปลี่ยนไป  แต่คุณสมบัติของผู้นำ และเนื้อหาสาระก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก  (อาทิ ต้องเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ต้องเป็นผู้บริหารมืออาชีพ ต้องมีอำนาจ ต้องกล้าตัดสินใจ มีความเด็ดขาด มีความเมตตา มีความเฉลียวฉลาด และอื่นๆ อีกมากมาย)

เรื่องที่สำคัญของ ผู้นำก็คือต้องมี ผู้ตามและต้องเป็นผู้ตามที่มีความเชื่อถือศรัทธาในตัวผู้นำอย่างแท้จริงด้วย  (โดยเต็มใจที่จะปฏิบัติตามที่ผู้นำสั่งการหรือมอบหมาย) เพื่อร่วมกันทำการใดๆ ให้สำเร็จผลตามที่คาดการณ์ไว้

ดังนั้น  เรามักจะวัดความสามารถของผู้นำหรือผู้บริหารได้จาก “ความสำเร็จ ในผลงานหรือโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้น  อันเนื่องมาจากความสามารถในการบริหารจัดการทรัพยากร เครื่องจักรอุปกรณ์และสภาพแวดล้อม เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย  ซึ่งรวมถึงความสามารถในการนำ ทีมงานหรือ ผู้ร่วมงาน (ผู้ตาม) ด้วย

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป  วิธีคิดวิธีการบริหารก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย ทำให้ การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลง(Change Management) มีความสำคัญมากขึ้นทุกที  เพื่อการปรับเปลี่ยนองค์กรและโครงสร้างให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะได้บรรลุผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (อาทิ  รายได้ กำไร ความสามัคคี ความมั่นคง การอยู่ดีกินดี เป็นต้น)

ประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้ผมเชื่อว่า “ผู้นำยุคไหนๆ (ตั้งแต่ผู้นำยุคแรกจนถึงผู้นำทุกวันนี้) ก็มีคุณสมบัติคล้ายๆ กัน คือ ต่างต้องหาวิธีบริหารจัดการ (ทำการต่างๆ) เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

แต่ ผู้นำยุคสุดท้ายต่อจากนี้ไป นอกจากจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของ เทคโนโลยีและ นวัตกรรมแล้ว ยังจะต้องให้ความสำคัญกับ ส่วนรวม และ สังคมมากขึ้นด้วย

ผู้นำในวันนี้  จึงไม่เพียงแต่จะต้องนำพาองค์กรไปสู่ผลสัมฤทธิ์หรือความสำเร็จขององค์กรเท่านั้น  แต่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียและสังคมด้วย  โดยเฉพาะเรื่องของการประกอบกิจการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน (ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง)

ภาระที่เพิ่มมากขึ้นและหนักมากขึ้นเช่นนี้จะสำเร็จลุล่วงได้ จึงอยู่ที่ ผู้นำสูงสุดที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลขององค์กรเท่านั้น

วันเวลาที่ผ่านไป  ยิ่งทำให้ผมเชื่อว่า ผู้ที่สามารถทำอะไรได้ตามที่อยากทำ หรือทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ในองค์กร หรืออยากให้องค์กรเป็นอย่างไร เขาผู้นั้นจะต้องเป็น ผู้บริหารสูงสุด ขององค์กรเท่านั้น (ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็กหรือองค์กรขนาดใหญ่) คือ เขาต้องอยู่ในตำแหน่งสูงสุดหรือเป็นหมายเลข 1 ขององค์กรเท่านั้น ส่วนผู้ที่อยู่ตำแหน่งรองลงมา (หมายเลข 2 หรือ 3) จะไม่มีความหมายใดๆ เพราะไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำอะไรให้เกิดขึ้นได้โดยง่าย

สรุปได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ผู้ที่จะทำอะไรๆ ให้เกิดขึ้นในองค์กรได้ ต้องอยู่ในตำแหน่งสูงสุดที่สามารถ “ทุบโต๊ะได้เท่านั้น

แต่ทุกวันนี้ ถึงเป็นผู้บริหารสูงสุด ก็ใช่จะทุบโต๊ะเอาได้ง่ายๆ เพราะ การมีส่วนร่วมของทีมงาน จะมีความสำคัญมากขึ้นทุกที ครับผม !