ลุงตู่กับ ปู่โจ

  ลุงตู่กับ ปู่โจ

เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับลุงตู่ แค่จะบอกว่าถ้าเราเรียกนายกฯ อายุ 60 กว่าๆว่า “ลุง “ ผู้นำอายุเกือบ 80 ก็ต้องเรียกว่า “ปู่”...ใช่ไหมครับ

คุณปู่ โจ ไบเดน กำลังจะเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ จะต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาหลากหลาย ทั้งระดับชาติและระดับโลก คำถามหนึ่งก็คือ ในวัยขนาดนี้ ปู่โจ จะไหวไหม?”

ความจริงทรัมพ์ก็อายุถึง 74 แล้ว เขาเคยโจมตี โจ ไบเดน เรื่อง อายุเพราะว่าแก่กว่าเขาถึง 4 ปี ตอนนี้ โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง เลยเป็นผู้นำอเมริกันที่ แก่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ผู้นำประเทศย่อมได้รับความกดดันมากมาย สภาพร่างกายและจิตใจต้องพร้อมมากๆ แม้คนวัย 70 กว่าๆ ส่วนใหญ่ยังสุขภาพดี แต่ไบเดนก็ใกล้ 80 แล้ว จะแบกรับปัญหาใหญ่ระดับโลก ไหวเหรอ?

สมัยผมไปเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา โรนัล เรแกน อดีตดาราภาพยนตร์ ลงสมัครแข่งขันในวัย 70 ปี ซึ่งยุคนั้นก็ถือว่าแก่มากแล้ว แต่นอกจาก เรแกน จะได้รับชัยชนะแล้ว เขายังได้รับเลือกอีกหนึ่งเทอม ได้ดำรงตำแหน่งนานถึง 8 ปี

เป็นประธานาธิบดีที่มีเสน่ห์ และเป็นขวัญใจประชาชน ด้วยครับ

มหาอำนาจอย่างอเมริกา ใครเป็นเบอร์หนึ่ง จะต้องตัดสินใจในเรื่องที่ยากมากๆ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน และเมื่อไรบนโลกใบนี้

แล้วถ้าวันนั้น เกิดมีปัญหาสุขภาพ (ที่มาพร้อมกับวัย) การตัดสินใจจะรอบคอบเพียงใด? ถึงจะมีทีมงานช่วยคิด ช่วยวิเคราะห์ทางเลือกให้มากมาย แต่ในที่สุด คนที่ต้องตัดสินใจก็คือตัวผู้นำนั่นแหละ สมอง จึงต้องอยู่ในสภาพที่มีความพร้อมเสมอ

ถ้าหากร่างกายและสมองอ่อนล้า ซึ่งโดยธรรมชาติ อาจจะเกิดขึ้นกับผู้สูงวัย ได้มากกว่าคนวัยหนุ่มสาว ตรงนี้จะเป็นประเด็นที่น่าห่วงได้ แต่วัยที่มากขึ้น ก็หมายถึงประสบการณ์ที่มากขึ้นด้วย ดังนั้น การตัดสินใจก็น่าจะรอบคอบยิ่งขึ้น

คือมีทั้งข้อดี และ ข้อพึงระวัง ว่างั้นเถอะ

 ตอนที่ ฮิลลารี่ คลินตัน หาเสียงแข่งกับทรัมพ์ วันหนึ่งเธอ เซ ขณะจะก้าวขึ้นรถ เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก แต่หลังจากนั้นเธอก็ฟื้น และประเด็นเรื่องสุขภาพ ก็จางหายไป

อีกคนคือ แอนเจลล่า เมอร์เคิ่ล  ผู้นำเยอรมัน ซึ่งมีคลิปให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เธอยืนตัวสั่น มือไม้สั่นไปหมด และเป็นมากกว่าหนึ่งครั้ง จนกังวลกันว่าเธอจะไหวไหม แต่เธอก็ยังไหว มาจนถึงทุกวันนี้

ความแก่ ไม่ได้แปลว่าร่างกายจะหมดสภาพเสมอไป เมื่อปี 2016 อดีตประธานาธิบดี จอร์จ บุช (ผู้พ่อ) พิสูจน์ด้วยการกระโดดร่ม วันนั้น เขาอายุ 90 ปี แล้ว และกระโดดแบบ ดิ่งพสุธาเสียด้วย!

ทรัมพ์เองก็ยังแกร่งกล้า ไม่เจ็บป่วยให้ต้องกังวล แม้เจอโควิด ไป 3-4 วัน ก็ยังออกมาสาดฝีปากใส่ศัตรูทางการเมือง ไม่หยุดหย่อน  แถมมีอาการกร้าว (ร้าว?) ให้เห็นอยู่บ่อยๆ

ผมก็ลุ้นมาตลอด อยากให้ ไบเดน ชนะ เพราะเบื่อทรัมพ์เต็มที ถามว่ากังวลเรื่องอายุ 78 ไหม ใครๆก็คงกังวล แต่ถ้าเหลียวมองไปไม่ไกลนัก เพื่อนบ้านของเราก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว

 มหาเดร์ ได้พิสูจน์ว่า คนวัย 90 กว่า ยังสามารถหาเสียงได้ทั่วประเทศ และเป็นผู้นำที่แบกภาระของประเทศได้จริงๆ ถ้าคิดแบบนี้ ไบเดน ในวัย 78 คงไม่น่ากังวลนัก และอาจเป็นได้ถึง 2 เทอม ด้วยซ้ำไป

นั่นเป็นเรื่องของอนาคต จริงๆแล้วคนส่วนใหญ่คาดว่า เขาคงจะอยู่เพียงเทอมเดียว ดังนั้นการคัดเลือกผู้สมัครเป็นรองประธานาธิบดี จึงสำคัญมาก ซึ่งในที่สุดก็ได้หญิงเก่งคือ กมลา แฮริส ซึ่งเคยสมัครเป็นผู้แทนพรรค เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว

ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน จอห์น เอฟ เคเนดี้ อยู่ดีๆก็จากไปเพราะถูกลอบยิง ทำให้ ลินดอน จอห์นสัน รองประธานาธิบดี ต้องเข้าดำรงตำแหน่งต่อทันที และเมื่อ ริชาร์ด นิกสัน ต้องลาออกด้วยคดีวอเตอร์เกต ก็ทำให้ เจอรัล ฟอร์ด ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเช่นกัน ฯลฯ

ดังนั้น คุณภาพของคนที่เป็นรองประธานาธิบดี จึงสำคัญมาก เพราะถ้าผู้นำต้องพ้นจากตำแหน่งอย่างกระทันหัน ด้วยเหตุใดก็ตาม เขาก็ต้องขึ้นดำรงตำแหน่งนั้น ในอดีตเคยมีการหยอกล้อกันว่า รองประธานาธิบดี บางคน ค่อนข้างจะ บ่มิไก๊

เช่น แดน เควล หรือ สปิโร่ แอ๊กนิว เป็นต้น ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่ประธานาธิบดีสมัยนั้น ดำรงตำแหน่งไปจนตลอดรอดฝั่ง ไม่มีเหตุให้ท่านรองฯ ซึ่งคนไม่ค่อยจะศรัทธา ต้องก้าวขึ้นเป็นผู้นำอย่างฉุกละหุก

โจ ไบเดน เคยเป็นรองประธานาธิบดีของ โอบาม่า มาแล้ว วันนี้เขามาถึงตำแหน่งสูงสุด  ส่วน กมลา แฮริส ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไปว่า ในอนาคต จะมีโอกาสขึ้นเป็นผู้นำหญิงคนแรกของอเมริกา ได้หรือไม่

 ฮิลลารี่ คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เกือบจะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรก นอกจากนั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ช่วงแรกๆก็ยังมีแมวมองสอดส่ายสายตาไปที่หญิงเก่ง อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งอีกคน คือ มิเชล โอบาม่า อีกด้วย

อเมริกา มีคนตั้ง 300 ล้านคน แต่ก็ยังอุตส่าห์วนเวียนไปมา ไม่กี่ครอบครัว นอกจากครอบครัวคลินตันแล้ว ยังมีครอบครัวบุช ที่ได้เป็นประธานาธิบดี ทั้งพ่อและลูก ครอบครัวเคเนดี้ ซึ่งทั้งพี่และน้อง คือ โรเบิร์ต และ เทด เคเนดี้ ก็เกือบจะมีโอกาสเป็นประธานาธิบดี ส่วนทรัมพ์ ก็เคยเอาลูกสาวคนสวยและลูกเขยหน้าตาดี ไปดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาแล้วเช่นกัน

มืองไทยเรา มีอยู่หลายครอบครัวเหมือนกัน ที่ สามี ภรรยา บุตร ฯลฯ ต่างเข้ามาเป็น รัฐมนตรี ส.. .. ฯลฯ ในเวลาเดียวกันบ้าง คล่อมเวลาบ้าง มีบ่อยๆ จนบางยุคสื่อมวลชนขนานนามว่า “สภาผัวเมีย”

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวคนสวย ภรรยานักการเมือง เข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองอีกคน สื่อประโคมข่าวกันเยอะ แต่รองนายกรัฐมนตรี ก็ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นไปตามขั้นตอนทุกประการ

ครอบครัวการเมือง แบบอเมริกันกับแบบไทย ไม่รู้ว่าใครเอาอย่างใครนะครับ...