รับยุคแห่งความพลิกผันด้วยวิธีคิด

รับยุคแห่งความพลิกผันด้วยวิธีคิด

ในโลกแห่งความผันผวนอันมีลักษณะของการลื่นไหล ฟุ้งกระจาย ไม่แน่นอน ซับซ้อนและกำกวม บุคคลจำเป็นต้องมีวิธีคิดในบางลักษณะ

วิธีคิดในบางลักษณะดังกล่าวจะช่วยให้มีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไปและอยู่อย่างมีความสุขตามสมควร  mental toolkits (วิธีคิดหรือเครื่องมือช่วยทางจิตใจ) และการมี mindset (“แว่นตา” ความคิด) ที่สร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

                        ที่เราถูกโกงก็เพราะชาติที่แล้วเราเคยโกงเขามา”     “เราเกิดมามีปัญหาก็เพราะชาติที่แล้วมีเวรกรรมที่ติดตัวมา”    “เขาทำบุญมาเพียงแค่นี้”    “ทำบุญทำทานแล้วจะสบายชาติหน้า”   เหล่านี้คือตัวอย่างของ toolkits  จะจริงหรือไม่เราไม่มีทางรู้    แต่มันทำให้เรา “ทำใจ” ได้  ไม่รุ่มร้อนและมีความสุขตามอัตภาพ

                        อะไรจะเกิดมันต้องเกิด”    “whatever will be,  will be”    เป็นอีกสอง “เครื่องมือ" ที่ช่วยในทางจิตใจยามเมื่อประสบสิ่งไม่พึงปรารถนา หรือไม่แน่ใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

                         Mindset  คือกรอบความคิดหรือ “แว่นตา” ที่คน  หนึ่งมองเห็นหรือเข้าใจโลก    คนที่มีความคิดในทางบวกก็เรียกได้ว่ามี mindset ที่สร้างสรรค์   กล่าวคือมีการปรับความคิดและการกระทำเพื่อตอบรับในทางที่เป็นบวกต่อสิ่งที่เกิดขึ้น   เช่นเห็นว่าการไม่มีงานทำเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและแก้ไขอะไรไม่ได้   สิ่งสำคัญคือจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น    การปรับทักษะและ   ปรับการดำรงชีวิต (ใครจะไปรู้อาจพบสิ่งที่ดีกว่าหรือได้งานใหม่ที่ดีกว่าเก่าก็เป็นได้)   สำหรับคนที่มี mindset ไม่สร้างสรรค์ก็จะตีโพยตีพายด่าว่าคนอื่น  นอนเสียใจในวาสนาของตนเอง   มองเห็นความผิดอยู่ที่คนอื่นหมดโดยมิได้มองตนเอง

                        นอกจากจะต้องมี mental toolkits และ mindset ที่สร้างสรรค์แล้ว   ยังมีข้อสามคือต้องมีการยอมรับความจริงของชีวิตบางประการจึงจะอยู่ในยุคแห่งความพลิกผันได้  ซึ่งได้เเก่   (ก) “life goes on”  ชีวิตมันดำเนินต่อไปเสมอไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม  วันที่ในปฏิทินก็เดินไปข้างหน้า   ผู้คนทำมาหากินใช้ชีวิตกันต่อไป    เด็กก็โตขึ้นมาแทนผู้ใหญ่    ทุกคนแก่ขึ้นทุกวันไม่มีข้อยกเว้น      ทุกอย่างเสื่อมไปตามวันเวลาไม่ว่าร่างกาย หรืออาคารบ้านช่อง  สิ่งมีชีวิตเติบโตและดับไปตามวันเวลา   ดังนั้น ความพลิกผันด้านลบที่เกิดขึ้นกับเรามันเป็นเรื่องธรรมดา มิได้มีอะไรเป็นพิเศษ     ถ้าเรารับว่ามันเป็นปัญหาใหญ่   มันก็จะเป็นปัญหาใหญ่     ถ้าเราคิดว่ามันไม่เป็นปัญหา   มันก็ไม่เป็นปัญหา ทุกอย่างอยู่ที่ใจ วิธีคิดเช่นนี้สอดคล้องกับความเป็นจริงของการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกคน    คนอื่นก็มีการพลัดพรากจากไปของคนที่เขารักเหมือนกันทั้งโลก     ต้องมีความทุกข์ด้วยกันทุกคนและชีวิตเดินต่อไปหมือนกันหมด

                        (ข)  “life is random” (ชีวิตคือการถูกสุ่มเลือก)   สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตโยงใยกับสถิติทั้งสิ้น     นับตั้งแต่เกิดมาก็มีสถิติมาเกี่ยวข้องแล้ว   เช่น    มีความเป็นไปได้ที่เด็กบางคนที่เกิดมาจะเป็นโรคหรือพิการ มีความผิดปกติของร่างกาย    ฯลฯ      การที่เกิดมาเป็นเด็กที่สมบูรณ์ก็คือส่วนของสถิติที่ไม่ถูกสุ่มเลือก(ผิดปกติแรกเกิด ประมาณกว่า 5.3ต่อประชากร 100,000คน)    เมื่อเติบโตขึ้นมาจนเป็นผู้ใหญ่ได้ก็นับว่ารอดจากการเป็นหนึ่งในสถิติของการป่วยเป็นโรคต่าง ๆ จนเสียชีวิต และรอดชีวิตจากอุบัติเหตุ (อุบัติเหตุวันละ 456 ราย ; ตาย บาดเจ็บ 450) หรือเภทภัยอื่น  (ผู้สูงอายุทุกคนจึงเป็นคนไม่ธรรมดาเพราะถ้าไม่แน่จริงตายไปนานแล้ว)  การประสบสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาจึงเป็นผลของการเป็นส่วนประกอบของสถิติในเรื่องนั้น  เพราะถึงอย่างไรก็ต้องมีคนประสบสิ่งนั้น ๆ ตามสถิติอยู่แล้ว   เช่น   ประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บ การเข้าใจเช่นนี้จะช่วยให้ความทุกข์เจ็บปวดลดลงไปบ้าง และต่อไปต้องพยายามทำตนไม่ให้เป็นผู้ถูก สุ่มเลือก

                        (4)  การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์    ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม     การประสบความพลิกผันจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามกฎสำคัญข้อนี้ ทุกคนต้องประสบสภาวการณ์เช่นนี้เหมือนกันหมด   ไม่มีใตรได้รับการยกเว้น    ประเด็นสำคัญก็คือก่อนที่เราจะประสบกับสิ่งที่เป็นลบนี้   เราได้เตรียมตัวไว้อย่างไรและเรามีปฏิกิริยาต่อมันอย่างไร   การถอดบทเรียนของชีวิตตนเองไว้ก่อนเป็นอย่างดีจะช่วยให้เกิดผลเสียจากความพลิกผันในอนาคตน้อยลงได้

                        (5)  คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ (human values) เป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้ต่อสู้กับความพลิกผันของชีวิตได้อย่างดียิ่ง    ความดี    จริยธรรม      กตัญญูกตเวทิตา    ความถ่อมตน    การให้เกียรติและเคารพคนอื่น     ความเมตตากรุณา      ความซื่อสัตย์     ความซื่อตรง     ความจริงใจ    ฯลฯ   เป็น human values ของทุกสังคมที่จะทำให้สมาชิกสามารถฝ่าฟันความยากลำบากไปได้ เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญของมนุษย์ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคมอย่างประสบความสำเร็จ

                        (6)  ความสามารถในการจัดการความสัมพันธ์กับผู้อื่น     มนุษย์ทุกคนบ่มเพาะและสะสมความสามารถในเรื่องนี้ข้ามเวลาอย่างยาวนานโดยไม่รู้ตัว    human value ข้างต้นเป็นตัวสนับสนุนความสามารถดังกล่าว    แต่มี 2 สิ่งที่โดดเด่นในการสร้างความสามารถในการจัดการความสัมพันธ์กับผู้อื่น    นั่นก็คือ empathy (ความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น)    ซึ่งไม่ใช่sympathy ซึ่งคือความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น     คนที่มี empathy จะเข้าใจว่าคนที่ตกงาน     คนสูญเสียพ่อแม่ ลูกหรือคู่ชีวิต นั้นมีความรู้สึกอย่างไร        คนหลายคนมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่ไม่สามารถเข้าใจว่าเขาเหล่านั้นมีความรู้สึกอย่างไร

                        อีกสิ่งหนึ่งได้แก่ compassion (ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างมีเมตตา)  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ human values ที่ใช้สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี    คนที่รถถูกปาดหน้าอย่างน่าโมโห   หากมี compassion แล้วก็จะไม่เร่งรถไปปาดหน้าสู้จนอาจเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้เพราะคิดว่าเขาน่าจะมีเหตุผลในการรีบร้อนเช่นนั้น      เขาอาจกำลังจะตกเครื่องบิน  หรือมีนัดสำคัญกับแพทย์  หรือรีบไปดูพ่อแม่ที่เกิดเจ็บป่วยขึ้น   ฯลฯ   ไม่ว่าสิ่งที่คิดจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตามที  มันก็ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น และชีวิตมีปัญหาน้อยลง    

                        ยุคของความพลิกผันเกิดจาก   (1)  การปฏิวัติความรู้หลากหลายสาขาอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษ 1960    โดยเฉพาะในด้านคอมพิวเตอร์ และด้านโทรคมนาคม (ผสมผสานกันจนเกิดเป็น IT ขึ้น)  (2) โลกาภิวัตน์ที่ทำให้โลกเชื่อมต่อถึงกันทั้งในด้านเศรษฐกิจ  สังคมและอิทธิพลความคิด     การเป็น “หมู่บ้านโลก” (global village)  การยอมรับวัตรปฏิบัติในภาคเอกชนมาใช้ในภาครัฐ (การแข่งขันในการเลือกสรรผู้ดำรงตำแหน่ง  การรับจ้างเหมาต่อ    การแปรรูปองค์กรของภาครัฐ    ฯลฯ)  (3)  เทคโนโลยีป่วนโลก (technology disruptions) อันเป็นผลพวงจากการต่อยอดของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในยุคทศวรรษก่อนหน้า  ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต    การทำงาน    นโยบายของภาครัฐ   การเมือง     สังคม    ธุรกิจ   ฯลฯ  อย่างมากมาย

                        ความพลิกผันซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นนั้น เรามีอิทธิพลต่อการเกิดของมันได้น้อยและไม่อาจทำอะไรกับมันได้มากนัก   แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบกับความพลิกผันนั้นเราสามารถทำได้อย่างเสรีและมีประสิทธิภาพด้วยวิธีคิด