แม้อาจได้ชัยชนะน้องๆ ก็ไม่ได้ปกครอง

แม้อาจได้ชัยชนะน้องๆ ก็ไม่ได้ปกครอง

มีนิสิตหลายคนในชั้นเรียนของผม ที่แสดงตนชัดเจนว่าเป็นทั้งผู้เข้าร่วมชุมนุมและผู้ที่เห็นต่าง รวมทั้งคนที่อาจไม่อยากแสดงความเห็นใดๆ

เกี่ยวกับการชุมนุมแบบแฟลชม็อบที่ได้ยินมาว่า จะจัดกันวันละนิดละหน่อยเพื่อกดดันให้รัฐบาลลาออกและแก้ไขรัฐธรรมนูญ กระทั่งเลยเถิดไปถึงความมุ่งหมายลึกๆ คือ “การเปลียนระบอบ (regime change)”

 

คนไทยส่วนใหญ่มองสองข้อเรียกร้องแรกด้วยความรู้สึกไม่อินังขังขอบเท่าใดนัก เพราะรัฐบาลหรือนักการเมืองมาแล้วก็ไป บางคนทำตัวเลวร้ายทั้งต่อหน้าและลับหลังก็ยังมีโอกาสกลับมาได้อีก แต่เรื่องที่ไปไกลเกินกว่าคนไทยส่วนใหญ่จะยอมรับได้ คือ เรื่องท้ายสุดแต่ดูเหมือนในแทบทุกครั้งของการชุมนุมจะถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นหลัก วิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นกันโดยอ้างความเป็นคนทันสมัย คนหัวก้าวหน้า แต่ข้อมูลเนื้อหาที่ต้องการปฎิรูปสถาบันนั้นเป็นความบังอาจบังอาจที่ว่าคือ การอวดรู้ ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่ไม่ใช่นักปราชญ์ ที่ต้องรู้จัก ฟัง อ่าน พูด เขียน อย่างใช้เหตุใช้ผล ขอให้ใช้หลักกาลามสูตรขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการคิดพิจารณาสิ่งต่างๆ

 

ผมเกรงว่า ที่หลายคนพากันตะโกนว่า “ให้มันจบที่รุ่นของพวกน้องๆ ทั้งหลาย” มันดูจะไม่ใช่ความหมายหรือลางดีเท่าใดนัก เพราะการจบที่ว่า อาจเป็นการที่รุ่นของพวกน้องๆ ทั้งหลายจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่า เป็นรุ่นของคนที่นำพาประเทศชาติและบ้านเมืองไปสู่ความเป็นทาสกลับมาอีก ทั้งที่บรรพบรุษของพวกท่านทั้งหลายได้ช่วยกันทำนุบำรุงสร้างสรรสังคมให้พวกเราได้อยู่ดีมีสุขมากระทั่ง วันนี้พวกท่านกำลังตกเป็นทาสของ “นายทาสทางการเมือง” ที่มาฉกฉวยเอาประโยชน์บนความไม่เดียงสาของคนบางกลุ่มแบบไม่รู้ตัว

 

ในมิติที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำ ลดการครอบงำเอารัดเอาเปรียบ พวกท่านทั้งหลายกลับใช้กำลังคน ผ่านกระบวนการจัดตั้งโดย staffs โดย การ์ด ที่มีคนจัดสรรรองรับการชุมนุม ทั้งอาหารการกิน จิปาถะ การที่คิดว่าทำผิดกฎหมายขนาดใด รัฐก็คงไม่กล้าล่วงเกินอะไร เพราะสุ่มเสี่ยงจะซ้ำเติมความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ท้ายสุดผลอันเลวร้ายน่าจะกลับไปหาตัวของน้องๆและครอบครัวของน้องๆ เอง

 

จะไม่มีใครทำอะไรพวกเราได้ หากคนไทยเช่นพวกเราไม่บ่อนทำลายกันเอง วันนี้สหรัฐอเมริกาคงยากที่จะจับตัว ซัสดัม ฮุสเซน กับ ออสล่า บิน ลาเดน ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนภายในที่โลภโมโทสันต์เห็นแก่อามิสสินจ้างไปแจ้งเบาะแสกระทั่งรู้แหล่งที่ซ่อนตัวกระทั่งตามล่าสังหาร เชื่อว่าหลายคนที่ไปชุมนุมมีองค์ความรู้และอุดมการณ์รวมทั้งวุฒิภาวะมากพอจะเข้าใจอะไรได้ง่าย แต่อาจไม่รู้ลึกลงไปว่า ในที่สุดแม้ท่านอาจได้ชัยชนะ แต่ท่านทั้งหลายหาใช่เป็นผู้ปกครอง และเมื่อผมมองไปยังคนที่น่าจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครองตัวจริง” หากพวกท่านชนะได้จริงแล้ว ก็ยิ่งสะท้อนชัดเจนว่า ท่านทั้งหลายล้วนเป็นเครื่องมือและเป็นเพียงหญ้าแพรกที่สิงสาราสัตว์พากันเหยียบย่ำเพื่อไปหาแหล่งอาหารอันโอชารส

 

วัฏจักรแห่งความเลวร้ายทางการเมืองกลายเป็นทฤษฎีที่ไม่ต้องการข้อพิสูจน์ใดๆ ในสมัยเหตุการณ์ 14 ตุลาคม  2516  ผมจำได้ดีว่า เวลานั้นนิสิตนักศึกษาประกาศชัยชนะ เดินไปที่ใดต้องคล้องแขนเรียงหน้ากระดาน ดูใหญ่โตขนาดตำรวจทหารเวลานั้นไม่กล้าใส่เครื่องแบบ กระทั่งนิสิตนักศึกษาต้องจัดคนไปรับแจ้งความ เอาลูกเสือไปโบกรถจัดการจราจรแทน แต่เป็นเช่นนี้อยู่สามสี่สัปดาห์ ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม เมื่อนักการเมืองกลับเข้ามามีอำนาจ จึงอยากให้กำลังใจและเตือนสติพวกท่านอย่าเห็นผิดเป็นชอบ อย่าเป็นกบเลือกนาย อย่าทุ่มเทจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์หรือทำตัวเป็นสะพานให้ผู้ร้ายได้ฟอกตัว ซึ่งต้องฝากไปถึงบรรดานักการเมืองน้อยใหญ่ กรุณาอย่าโหนกระแส อย่าแตะต้องรัฐธรรมนูญ เพราะสองข้อแรกคนชักใยเขายังไม่พอ เขาต้องการไปไกลถึงขั้น “เปลี่ยนระบอบ