ขณะนี้มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในอเมริกาบรรยากาศเงียบเหงา นักศึกษาเรียนออนไลน์กันมาตั้งแต่เดือนมี.ค.
แปดปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ลงทะเบียนเรียนระดับอุดมศึกษาทั่วอเมริกาลดลง 11% มหาวิทยาลัยหลายแห่งอยู่ได้เพราะการปรับตัวขยายรับนักศึกษาจากต่างประเทศ ซึ่งจ่ายค่าเล่าเรียนสูงเต็มตามอัตรา เฉลี่ยประมาณสองถึงสามเท่าของนักศึกษาในท้องถิ่น
ประเมินว่าเปิดเทอมการศึกษาประจำปีนี้ เริ่มฤดูใบไม้ร่วง เดือนส.ค.-ก.ย. จะมีจำนวนนักศึกษาอเมริกันลดลงไป 15% และนักศึกษาต่างชาติจะลดถึง 25% ประกอบกับการอนุมัติวีซ่าปัจจุบัน เป็นเรื่องยุ่งยากมากกว่าเดิม รวมทั้งความไม่แน่นอนเรื่องการบินระหว่างประเทศ จึงเป็นที่กังวลว่า นักศึกษาจากต่างชาติอาจจะลดลงมากกว่าที่คาดไว้อีก
มหาวิทยาลัยทั้งหลายกำลังเร่งลงทุนหนัก เปลี่ยนจากการสอนแบบเดิมในห้องเรียน ไปเป็นออนไลน์ และต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ต่างๆ รวมทั้งการฝึกอบรมอาจารย์และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ให้ทันต่อการใช้เครื่องมือ ก่อนมีโรคระบาดมีการสอนออนไลน์ประมาณเพียงแค่ 10% แต่ปัจจุบันเกือบ 100%แล้ว แต่ผู้สอนและนักศึกษายังขาดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสอนและการเรียนแบบออนไลน์อยู่
ฝ่ายการเงินของสถาบันฯ ก็ต้องรับภาระคืนเงินค่าห้องพักและอาหาร รวมทั้งค่าเล่าเรียนบางส่วน แถมยังเจอปัญหาของรายได้ตก เนื่องจากมหาวิทยาลัยในอเมริกาพึ่งรายได้จำนวนมากจากกีฬาและกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการเปิดเข้าค่ายฤดูร้อน เงินบริจาคจากศิษย์เก่าก็ลดลงเป็นระยะ เพราะปัญหาเศรษฐกิจภายนอก มหาวิทยาลัยที่ผมเคยศึกษาปริญญาโท University of Michigan, Ann Arbor คาดว่าปีนี้จะสูญเสียรายได้ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์
เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา รัฐสภาสหรัฐฯ ให้เงินช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษกับสถาบันอุดมศึกษาแล้ว 14,000 ล้านดอลลาร์ และกำลังรออนุมัติอีกรอบหนึ่งประมาณ 46,000 ล้านดอลลาร์
มหาวิทยาลัยบางแห่งกำลังวางแผนเปิดเทอมช้ากว่าปกติ คือ แทนที่จะเปิดตามกำหนดเดิมคือส.ค.-ก.ย. ก็อาจเลื่อนไปเปิดเดือนต.ค. หรือ ม.ค.เพื่อดูสถานการณ์ไปอีกระยะหนึ่ง บางแห่งพยายามใช้ความคิดสร้างสรรค์แบบผสม คือให้มีการเรียนในห้องได้หากมีนักเรียนจำนวนน้อย และมีการเว้นที่นั่งห่างกัน ส่วนวิชาที่ปกติมีผู้เรียนมากถึง 100 คน ก็จะใช้วิธีการเรียนออนไลน์
California State University กลุ่มสถาบันอุดมศึกษาแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศเมื่อสองวันที่แล้วว่า เทอมแรกของปีนี้ ซึ่งจะเริ่มส.ค.และก.ย. จะเป็นการเรียนออนไลน์เท่านั้น กลุ่มสถาบันฯมีนักศึกษาถึง 500,000 คน และอาจารย์รวมทั้งเจ้าหน้าที่ประมาณ 50,000 คน หลักสูตร 72,000 วิชา ได้ถูกระดมเปลี่ยนอย่างเร่งด่วนภายในสองเดือน เริ่มตั้งแต่มี.ค.ที่ผ่านมา ให้เหมาะสมกับการสอนแบบออนไลน์ ปัญหาและความขลุกขลักยังมีมาก เพราะอาจารย์ขาดประสบการณ์เรื่องการใช้เทคโนโลยี เนื่องจากเคยชินกับการสอนในห้องเรียน
วิชาที่ต้องลงปฏิบัติด้วยตนเอง เช่น การใช้ห้องทดลอง หรือสถาปัตยกรรม ก็จะมีการลดจำนวนนักศึกษาต่อห้องลง การบริหารเวลาและบุคลากรให้เหมาะสม คาดว่าจะกระทบกระเทือนกับงบประมาณมาก
Harvard University แถลงข่าววันนี้ว่า จะสอนออนไลน์เท่านั้น สำหรับภาคเรียนแรกแห่งปี (ก.ย.-ธ.ค.) และ “หวังว่า” จะสามารถรับนักศึกษาเข้าห้องเรียนและหอพักได้ ภายในเดือนม.ค.ปีหน้า
ขณะที่หลายสถาบันแสดงท่าทีหรือแถลงชัดเจนเรื่องการสอนออนไลน์ แต่ก็ยังมีอีกหลายสถาบันที่ยังลังเลใจอยู่ เนื่องจากมีความกดดันจากหลายด้าน โดยเฉพาะในรัฐที่แนวความคิดทางการเมืองนิยมความมีเสรีภาพส่วนบุคคล และมองว่า การมีกฎระเบียบเข้มงวดเกินไปของภาครัฐเป็นการละเมิดสิทธิ ถึงแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ออกมาย้ำเตือนว่า หากเปิดประเทศหรือสถาบันการศึกษาเร็วเกินไป การระบาดจะลุกลามขึ้นมาอีกอย่างควบคุมไม่ได้ บวกกับการระบาดอีกรอบหนึ่งที่คาดว่าจะมาในฤดูหนาวนี้
บทความที่ผมเขียนครั้งที่แล้ว วันที่ 29 เม.ย. ชาวอเมริกันเสียชีวิตเพราะโควิดประมาณ 60,000 คน และสองสัปดาห์ที่ผ่านมาถึงวันนี้ 14 พ.ค.จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 86,541 คน เฉลี่ยการเสียชีวิตต่อวันประมาณกว่า 1,800 คน ส่วนรัฐ Georgia ที่ผมพำนักอยู่ มีประชากร 10.2 ล้านคน ปัจจุบันมีผู้ป่วยโควิด 35,977 คน และเสียชีวิตแล้ว 1,544 คน เมื่อดูตัวเลขของอเมริกาหรือเฉพาะรัฐจอร์เจียแล้วเทียบกับไทย เราเห็นชัดว่านโยบายและการปฏิบัติของไทยได้ผลกว่า ขอส่งกำลังใจให้ท่านช่วยกันมีวินัยต่อไปครับ
สำหรับนักศึกษาไทยที่กำลังเตรียมตัวจะมาเรียนต่อที่อเมริกา ก็คงต้องติดตามข่าวระยะนี้อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ให้ได้ โอกาสที่จะเดินทางมาเรียนด้วยตนเองได้ คงไม่เร็วกว่าเดือนมกราคมปีหน้า หรืออาจจะมีการใช้ระบบออนไลน์ต่อไปอีก หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น
การลงทุนเรื่องการศึกษา เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากอยู่แล้ว และเมื่อมาผสมกับวิกฤติครั้งนี้ ทุกคนจึงต้องคิดหนัก หลายคนได้เลื่อนการศึกษาออกไปอีก และผันตัวเข้าสู่การประกอบอาชีพทั้งส่วนตัว และทำงานให้กับบริษัทหลายแห่ง การใช้นวัตกรรมสื่อสาร ทำให้เยาวชนมีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วโลก นายจ้างเองก็เริ่มเห็นประโยชน์จากการที่พนักงานทำงานจากที่บ้าน โดยมีประสิทธิภาพมาก และถือโอกาสปรับยุทธศาสตร์ในการจ้างงานแบบใหม่ ธุรกิจสร้างสรรค์เกิดขึ้นมาก ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ สถาบันอุดมศึกษาต้องรีบปรับยุทธศาสตร์เร่งด่วน เพราะอุปสงค์และอุปทานเริ่มไม่สมดุลกันครับ