ทิ้งแต่เก็บ X เงินบาท
ใครๆ ก็อยากเริ่มปีใหม่อย่างสดใส อะไรที่ไม่ดีเราก็ต้องทิ้งให้เป็นเรื่องของปีเก่า เหมือนอย่างหนัง “ฮาวทูทิ้ง”
แต่สำหรับนักลงทุนไทยอย่างเรา สิ่งที่ “ทิ้งไม่ลง” กลายเป็นของใกล้ตัวอย่าง เงินบาท ที่แข็งค่าแรงส่งท้ายปีเก่า แต่ก็อ่อนค่าแรงในช่วงวันปีใหม่ จนหลายคนสงสัย ว่าความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนเช่นนี้ มีความหมาย และกำลังบอกอะไรกับเราอยู่
ย้อนกลับไปช่วงท้ายปีปรากฏการณ์ “ทิ้งเงินดอลลาร์” เกิดขึ้นในบ่ายวันที่ 30 ธ.ค. ตามมาด้วยเซอร์ไพรส์ในวันที่ 2ม.ค. เมื่อมีใครบางคนอยาก “ทิ้งเงินบาท” เพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนกลับไปที่เดิม
บางท่านอาจสังเกตเห็นว่าวันทำการสุดท้ายของปี 2019 มีอะไรแปลกๆ
เพราะอยู่ดีๆ อัตราแลกเปลี่ยนที่ซื้อขายทั้งวันในกรอบ 30.12-16 บาทต่อดอลลาร์ก็กลับ "ปรับตัวลง" (ดอลลาร์อ่อน บาทแข็ง) ในช่วงท้ายตลาดอย่างไร้แนวรับ
เพียงไม่กี่นาที เงินบาทก็แข็งค่าลงไปแตะระดับ 29.92 บาทต่อดอลลาร์ ช่วงปิดตลาด และถ้าใครยังทนดูต่อช่วงเคาท์ดาวน์ปี 2020 ก็จะเห็นดอลลาร์ลงไปต่ำสุดที่ 29.72 บาท คิดเป็นการแข็งค่าของเงินบาทถึง 1% ในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง “แรง” สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนทั้งปีแค่ 4%
แต่ยังไม่ทันจะหายตกใจ อัตราแลกเปลี่ยนก็ทำเซอร์ไพรส์อีกครั้งเมื่อเปิดทำการปี 2020 กลับอ่อนค่าไปที่ 30.15 บาทต่อดอลลาร์ เท่ากับช่วงก่อนสิ้นปี เหมือนมีใครไม่อยากให้เป็นเรื่องราว
แต่แน่นอนว่าอาการ “ทิ้งแต่เก็บ” ของเงินบาทครั้งนี้ไม่ปรกติ และมีหลายเรื่องที่เราอาจต้อง “ทิ้ง” และ “เก็บ” เป็นข้อเตือนใจในปี 2020
เรื่องแรก คือ สภาพคล่องดูจะเป็นปัญหาของเงินบาท และความผันผวนแท้จริงก็สูงกว่าที่เห็น
จากเหตุการณ์นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาชี้แจงทันทีว่า “สภาพคล่อง” เป็นต้นตอของปัญหา ซึ่งที่จริงในปี 2019 สภาพคล่องของเงินบาทก็มีปัญหาตลอดเวลาที่ ธปท.ไม่อยู่ในตลาด
คิดง่ายๆ จากความผันผวน (Standard Deviation) ของอัตราแลกเปลี่ยน กับทุนสำรองระหว่างประเทศ
ทั้งคู่มีความผันผวนในปีที่ก่อนที่ 3.6% และ 3.9% หมายความว่า เงินบาทที่เห็นแกว่งตัวแคบๆ แบบนี้ ไม่ได้เกิดจากความมั่นคงของเศรษฐกิจ แต่เกิดจากการที่ธนาคารกลางเข้ามาช่วยซื้อขาย ทำให้ความผันผวน “ครึ่งหนึ่ง” ถูกดูดซับไปกับทุนสำรองระหว่างประเทศ
ดังนั้น ถ้าเชื่อว่าสภาพคล่องเป็นปัญหา และไม่มีใครคิดจะแก้ ก็ต้องระวังไว้เสมอว่าความผันผวนอาจสูงขึ้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ธปท.ไม่อยู่ในปี 2020 เช่นกัน
ขณะเดียวกัน ปี 2019 ก็เป็นปีที่เงินบาท “ทิ้ง” คาแรคเตอร์ของสกุลเงินสายบู๊เอเชีย แต่ “เก็บ” ความเป็นสกุลเงินปลอดภัยสายแท็งค์ไว้อย่างเต็มที่
ย้อนกลับไปช่วงผันผวนปลายปี หลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่ามีสองตัวแปรในตลาดการเงินที่ “ถูกเก็บ” พร้อมกันกับเงินบาท คือ ราคาทองคำที่พุ่งทะลุระดับ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเงินยูโรที่แข็งค่าในวันเดียว 2%
ยิ่งกว่านั้น ก็อาจไม่ทันรู้ตัวว่าสองตัวแปรนี้มีความสัมพันธ์ (Correlation) ล่าสุดกับค่าเงินบาทสูงขึ้นมากในปี 2019 คือ 0.45 และ 0.30 แตกต่างจากช่วงอื่นในทศวรรษ 2010 ที่เงินบาทมักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินเอเชีย (0.54) หรือหุ้นไทย (0.47) ชี้ว่าพฤติกรรมของเงินบาท (ซึ่งที่จริงก็คือพฤติกรรมของผู้เล่นหลักในตลาด) เปลี่ยนไปหมด
จากสกุลเงินซื้อทอง สายซิ่งตามตลาดหุ้นเพราะมีนักลงทุนต่างชาติ กลายเป็นสกุลเงินของคนขายทอง ที่แข็งเมื่อตลาดปิดรับความเสี่ยง เพราะมีแต่นักลงทุนไทยกับนักธุรกิจ
ดังนั้น ถ้าความสัมพันธ์เช่นนี้ยังคงอยู่ในปี 2020 ก็ต้องระวังไว้ด้วยว่าเงินบาท อาจไม่สามารถอ่อนค่าได้เหมือนสกุลเงิน Emerging Asia อื่นๆในช่วงที่ตลาดปิดรับความเสี่ยง
และเหตุการณ์นี้ กำลังเตือนเราอีกครั้งว่า “การเปลี่ยนแปลงคือสิ่งเดียวที่แน่นอนของตลาดการเงิน”
ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ “ทิ้งแต่เก็บ” เงินบาทในช่วงส่งท้ายปี 2019 ต้อนรับปี 2020 นี้ บอกอะไรหลายอย่างกับคนไทย
ทั้งนักลงทุน ที่ต้องเรียนรู้ ปรับตัว และทำความเข้าใจบริบทของความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดนี้ให้ทัน เพื่อความอยู่รอดในโลกการเงิน
นักธุรกิจ ที่ต้องมองเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นสัญญาณเตือนอีกครั้งว่า ไม่มีใครสามารถช่วยเราจากความผันผวนของตลาดได้ตลอดเวลา
และผู้กำหนดนโยบาย ที่ต้องรู้ตัวว่าอัตราแลกเปลี่ยนกำลังจะกลายเป็นโจทย์ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ของนโยบายการเงินถ้าไม่รีบหาทางรับมือ
“ทิ้ง” ความเชื่อเก่าๆ “เก็บ” มุมมองใหม่ๆ และปรับตัว รับปี 2020 ครับ