หากไม่คิดปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงเท่ากับปิดทางสู้
ปี 2562 ที่กำลังผ่านพ้นไปนี้อาจเป็นปีที่สร้างความเหนื่อยล้าให้กับผู้อ่านหลายๆ ท่านเพราะมีเรื่องใหม่ๆ ให้ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา อาทิ บิ๊กดาต้า, เอไอ, แมชีนเลิร์นนิง, บล็อกเชน ซึ่งล้วนก่อให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจของเรามากมายมหาศาล
อนาคตขององค์กรธุรกิจในทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยความผันผวนจนคาดเดาได้ยากว่า ในปีหน้าจะเป็นอย่างไร ธุรกิจของเราในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อุตสาหกรรมในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน เพราะในรอบ 3-5 ปีที่ผ่านมานี้เราเห็นแต่ความไม่แน่นอนเกิดขึ้น
ผู้บริหารและเจ้าของกิจการจึงมีทางเลือกไม่มากนัก เพราะหากไม่คิดที่จะปรับตัวเพื่อให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เท่ากับเป็นการปิดทางสู้ เหลือเพียงการปิดตัวลงเพราะไม่อาจแข่งขันกับใครเขาได้ เช่นเดียวกับพนักงานในองค์กรที่ไม่เต็มใจสู้รับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ต้องรับสภาพความเป็นจริงว่าต้องตกงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในวาระที่ปีเก่ากำลังผ่านพ้นไป เรากำลังเข้าสู่ปีใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวัง ผมจึงอยากฝากข้อคิดสำหรับรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเข้ามาหาเราตลอดปีหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้สักเล็กน้อย โดยเริ่มจาก
ข้อแรกคือ “ทัศนคติ” ที่ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุด เพราะเมื่อการเปลี่ยนแปลงมาถึง ทัศนคติเชิงลบจะฉุดให้จิตใจของเราเต็มไปด้วยความหวาดวิตก และความว้าวุ่นใจที่เกิดจากการมองทุกอย่างเป็นลบ นั่นคือเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรค มองไม่เห็นทางออกใดๆ และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าไม่ได้เพราะทุกจุดล้วนมีปัญหาเกิดขึ้นเต็มไปหมด
คนที่มีทัศนคติเชิงบวกจะมองในมุมตรงกันข้าม ด้วยการจับเอาจุดที่ได้เปรียบและอาจสร้างโอกาสให้กับตัวเองมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด คนกลุ่มนี้จะมองเห็นว่าความถนัดและความเชี่ยวชาญของตัวเองสามารถประยุกต์ใช้กับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไรแม้จะเป็นจุดเล็กๆ ก็สามารถขยายผลได้
ในขณะที่คนคิดลบมักจะมองจุดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไม่เจอ และคิดมากเกินไปจนไม่กล้าปรับตัวไปในทิศทางไหนจึงทำได้แต่เพียงอยู่เฉยๆ ทำสิ่งเดิมๆ โดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรแล้วรอวันให้ธุรกิจต้องปิดตัวลงโดยไม่มีทางเลือกใดๆ
คนทั่วไปมักเลือกเสพข่าวด้านลบ โดยเฉพาะผลพวงของเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านการทำงาน เพราะเข้ามาแทนที่คนทำงานทั่วไปได้ เราก็มักจะแชร์ข่าวในด้านลบต่อๆ กันว่ามันจะเข้ามาแย่งงานคนทำให้ธุรกิจมากมายต้องปิดตัว ขยายไปจนถึงระดับอุตสาหกรรมอาจต้องมีปัญหาทั้งระบบ
ในขณะที่แง่มุมด้านบวกเรามักไม่ค่อยนำมาขยายความว่า มันจะสร้างหน้าที่การงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกกี่ตำแหน่ง มันสามารถลดต้นทุนในการทำธุรกิจได้มากแค่ไหน และทำให้เราทำงานสะดวกสบายขึ้นจนเอาเวลาที่ประหยัดไปได้นั้นเพิ่มมูลค่าให้ใช้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้อย่างไร
ทัศนคติที่เป็นบวกจะทำให้เรากระโดดเข้าใส่การเปลี่ยนแปลง พร้อมกล้าประกาศว่า “ผมอยากทำ!” เพื่อหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับชีวิต ในขณะที่ทัศนคติเชิงลบจะทำให้เราถอยหลังจนชิดกำแพงแล้วถามตัวเองในใจว่า “ผมจะทำได้หรือ?”
ความ “อยากทำ” เป็นการเปิดประตูรับโอกาสใหม่ๆ ให้เราได้เรียนรู้ ได้ค้นคว้า ได้ลองผิดลองถูก ด้วยจิตใจที่อยากท้าทายกับความสำเร็จใหม่ๆ ซึ่งอาจไม่ได้รับประกันว่าจะต้องประสบความสำเร็จเสมอไป แต่อย่างน้อยก็ได้ลองและทำให้ขยับเข้าใกล้ความสำเร็จเข้าไปอีกขึ้น
ในขณะที่ความ “ไม่กล้าทำ” จะเป็นการปิดประตูใส่ความสำเร็จทันทีเพราะเราจะไม่ได้ลองอะไรใหม่ๆ เลย ซึ่งนั่นหมายถึงการปิดโอกาสในการเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ และปิดประตูขังตัวเองอยู่กับการทำงานแบบเดิมๆ โดยมองไม่เห็นว่าโลกกำลังหมุนไปในทิศทางไหน
เมื่อเรากำลังจะเข้าสู่ปีใหม่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ผมจึงขอให้ผู้อ่านทุกท่านเปิดประตูรับความสำเร็จและก้าวสู่ปีใหม่ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงด้วยความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ