คำแถลงการณ์ "ขอโทษ" กรณีบทความใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม

คำแถลงการณ์ "ขอโทษ" กรณีบทความใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม

แถลงการณ์ขอโทษ กรณีบทความ “อันตรายของภาวะนิติศาสตร์ล้นเกิน(อีกที) กรณีถือหุ้นสื่อของผู้สมัคร ส.ส.”

ข้าพเจ้า สฤณี อาชวานันทกุล ผู้เขียนบทความอันตรายของภาวะนิติศาสตร์ล้นเกิน (อีกที) กรณีถือหุ้นสื่อของผู้สมัคร ส.ส.ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562 ประสงค์จะชี้แจงต่อสาธารณะถึงเจตนาในการเขียนบทความดังกล่าว และแถลงขอโทษต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ดังนี้

ข้าพเจ้าเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นสืบเนื่องจากความสนใจในคดีที่เรียกกันว่าคดีหุ้นสื่อจากการห้ามผู้สมัคร ส.ส.เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆซึ่งเป็นบทบัญญัติใหม่ที่ปรากฎเป็นครั้งแรกในมาตรา 98(3) ของรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2560 โดยแบ่งบทความออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกวิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2562 เพิกถอนสิทธิในการรับสมัครเลือกตั้งของคุณภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคอนาคตใหม่ จ.สกลนคร ส่วนเนื้อหาครึ่งหลังของบทความมุ่งอธิบายเหตุผลที่ข้าพเจ้าเห็นว่า มาตรา 98(3) ในรัฐธรรมนูญ ที่ห้ามไม่ให้ผู้สมัคร ส.ส. ถือหุ้นสื่อ เป็นบทบัญญัติที่ล้าสมัยไปแล้วในยุคโซเชียลมีเดียที่นักการเมืองและคนอื่นสามารถเป็นสื่อได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องถือหุ้นในกิจการสื่อ อีกทั้งนักการเมืองยังมีวิธีแทรกแซงสื่อมากมายโดยไม่ต้องถือหุ้นแม้แต่หุ้นเดียว และเสรีภาพสื่อก็อาจถูกละเมิดได้โดยหน่วยงานกำกับดูแลหรือหน่วยงานรัฐ มิใช่แต่เพียงนักการเมืองเท่านั้น

ข้าพเจ้าหวังว่าผู้ที่ได้อ่านบทความชิ้นนี้จากต้นจนจบจะเห็นว่า ข้าพเจ้าเขียนด้วยความปรารถนาดีต่อกระบวนการยุติธรรม และด้วยความมุ่งหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในอนาคต ทั้งการตีความเรื่องการถือครองหุ้นสื่อตามมาตรา 98(3) อย่างรัดกุม และการหาฉันทามติในสังคมเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรานี้ต่อไปในอนาคต เพื่อป้องกันการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งจะส่งผลต่อสิทธิและทางเลือกของประชาชนในการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ดี ในบทความชิ้นนี้ ข้าพเจ้าใช้คำว่ามักง่ายและตะพึดตะพือในการบรรยายลักษณะคำวินิจฉัยที่ข้าพเจ้าวิจารณ์ในส่วนแรกของบทความ เมื่อข้าพเจ้าได้รับหมายเรียกของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งในคดีนี้ ส่งผลให้ข้าพเจ้าตระหนักว่าถ้อยคำดังกล่าวเป็นคำที่ไม่เหมาะสมและไม่จำเป็น ทำให้ผู้อ่านบางท่านเกิดความเข้าใจผิดในเจตนาของข้าพเจ้า ทั้งที่มิได้มีเจตนาที่จะก้าวล่วง ดูหมิ่น หรือโจมตีสถาบันศาล หรือตุลาการท่านใดเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด และหากถอนคำดังกล่าวออกจากบทความแล้ว สาระสำคัญก็จะยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ในฐานะผู้เขียนบทความซึ่งมิได้มีเจตนาที่จะทำให้ผู้ใดหรือสถาบันศาลเสียหาย ข้าพเจ้าจึงขอแสดงความเสียใจและขอประทานโทษต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมในการวิจารณ์ และประสงค์จะถอนคำว่ามักง่ายและตะพึดตะพือออกจากบทความดังกล่าว

สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าข้าพเจ้ามีเจตนาที่จะวิจารณ์คำตัดสินของศาลโดยสุจริตใจ ด้วยความปรารถนาดีต่อกระบวนการยุติธรรมและยึดมั่นในประโยชน์สาธารณะ ข้าพเจ้ายอมรับความผิดพลาดที่เลือกใช้คำไม่เหมาะสมในการเขียนบทความ และจะเขียนด้วยความรัดกุมและระมัดระวังกว่าเดิมในอนาคต ด้วยความเคารพต่อศาลและกระบวนการยุติธรรม โดยจะนำแถลงการณ์ฉบับนี้เผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์เพื่อชี้แจงต่อสาธารณะด้วย