ด่วน! กฤษฏีกา แจงปมประชามติ MOU 43-44 หลังยุบสภา ขัดรธน.ม.169 ทำไม่ได้

ด่วน กฤษฏีกา ออกคำชี้แจงปมประชามติ MOU 43-44 หลังยุบสภา ทำไม่ได้ขัดรธน.ม.169 กฎเหล็กห้ามผูกพันถึงรัฐบาลหน้า กฤษฏีกา เคยส่งความเห็นให้รัฐบาลอนุทินแล้ว ชี้ผลเสียมากกว่าผลดีหากยกเลิก
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดย นายนพดล เภรีฤกษ์ โฆษกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ออกเอกสารชี้แจง 16 ธันวาคม 2568 เวลา 20.00 น. กรณีการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ว่า จะจัดให้มีการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา นั้น
คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานทีเกี่ยวข้องจัดเตรียมข้อมูลไว้แล้ว แต่เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรจึงเกิดกรณีต้องพิจารณาว่า การจัดทำประชามตีในเรื่องดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นการกระทำอันมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามมาตรา ๑๖๙ (๑) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือไม่ จึงได้ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นประกอบการพิจารณา
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า การออกเสียงประชามติ (Referendum) แบ่งออกเป็นสองประเภท คือ การออกเสียงประชามติที่มีผลผูกพัน (Binding) กับการออกเสียงประชามติที่เป็นการปรึกษาหารือ (Consultation) โดยการออกเสียงประชามติที่มีผลผูกพันจะผูกพันองค์กรผู้ริเริ่มให้มีการออกเสียงประชามติ (รัฐสภา คณะรัฐมนตรี) ต้องดำเนินการให้เป็นไปตาม "ข้อยุติ" ที่ได้จากการประชามตินั้น
ดังจะเห็นได้จากการที่มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๘ บัญญัติไว้ชัดเจนว่า การออกเสียงที่จะถือว่า "มีข้อยุติ" ในเรื่องที่จัดทำประชามติ ให้ใช้เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียง โดยคะแนนเสียงข้างมากต้องสูงกว่าคะแนนเสียงไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น
ดังนั้น การที่คณะรัฐมนตรีจะจัดให้มีการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา จึงต้องพิจารณาในเบื้องต้นก่อนว่าคณะรัฐมนตรีมุ่งหมายจะดำเนินการเพื่อให้มีข้อยุติ หรือเป็นเพียงการปรึกษาหารือผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ
โดยหากคณะรัฐมนตรีมุ่งหมายจะดำเนินการเพื่อให้มีข้อยุติในเรื่องที่ทำประชามติเพื่อให้มีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปตามข้อยุตินั้น ก็จะเข้าลักษณะเป็นการออกเสียงประชามติที่มีผลผูกพัน ซึ่งเมื่อได้ข้อยุติเป็นประการใด คณะรัฐมนตรีทุกชุดก็จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อยุตินั้นซึ่งหากเป็นดังนี้ก็จะเข้าลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖๙ (๑) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เนื่องจากจะมีผลผูกพันให้คณะรัฐมนตรีชุดต่อ ๆ ไปที่จะต้องดำเนินการใด ๆ เพื่อให้เป็นไปตามผลการออกเสียงประชามตินั้น จนกว่าจะมีการประชามติใหม่และผลการประชามติเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่หากคณะรัฐมนตรีมุ่งหมายเพียงปรึกษาหารือผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ คณะรัฐมนตรีก็ยังใช้ดุลพินิจได้ว่าสมควรจะดำเนินการตามผลที่ได้
จากการออกเสียงประชามติหรือไม่ ก็จะไม่เข้าลักษณะต้องห้าม ซึ่งเมื่อพิจารณาคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีแล้ว ปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีมุ่งหมายที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามผลของการประชามติ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงเห็นว่า การออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา ภายหลังจากที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ.๒๕๖๘ มีผลใช้บังคับแล้ว เข้าลักษณะเป็นการกระทำอันมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖๙ (๑) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
อนึ่ง คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้เคยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าในการจัดให้มีการออกเสียงประชามติเรื่องนี้จึงต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ได้เสียที่เกิดจาก MOU หรือการยกเลิก MOU ดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเจรจาในเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอันอาจก่อให้เกิดข้อเสียเปรียบแก่ประเทศอย่างรุนแรงและไม่เป็นผลดีแก่ประเทศในภาพรวมขึ้นได้ สมควรที่คณะรัฐมนตรีจะได้พิจารณาผลกระทบด้านต่าง ๆ อย่างรอบคอบ
คณะรัฐมนตรี พิจารณาความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วเห็นว่า การจัดให้มีการประชามติเรื่องดังกล่าวภายหลังจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร จะมีผลเป็นการผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปซึ่งต้องห้ามตามมาตรา ๑๖๙ (๑) ของรัฐธธธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
จึงเรียนมาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องทั่วกัน







