ส่องภาพรวมเศรษฐกิจดิจิทัล จีน VS สหรัฐอเมริกา

ส่องภาพรวมเศรษฐกิจดิจิทัล  จีน VS สหรัฐอเมริกา

จีนจะกลายเป็นผู้นำทางด้านอินเทอร์เน็ตในไม่ช้านี้

เวลานี้ทุกฝ่ายต่างทราบกันดีว่า เศรษฐกิจดิจิทัล หรือเม็ดเงินที่มีการขับเคลื่อนอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ต รวมถึงโซเชียลมีเดีย คือช่องทางขนาดใหญ่ที่เชื่อมโลกเข้าด้วยกัน ซึ่งทุกฝ่ายก็ต้องการเข้าไปแย่งชิงส่วนแบ่งและผลประโยชน์

ในภาพรวมแล้ว สหรัฐ และ จีน คือสองชาติมหาอำนาจ ที่กำลังครอบครองพื้นที่นี้อยู่ โดยเฉพาะจีนซึ่งสามารถผลักดันตัวเองขึ้นมาเป็นคู่แข่งอันดับหนึ่งกับเจ้าตลาดเดิมอย่างสหรัฐ ที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและแอพพลิเคชั่นสำหรับโซเชียลมีเดียของตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งผลไปที่พัฒนาการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องด้วย

ข้อมูลจาก Boston Consulting Group (BCG) เผยว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของจีนได้รับการผลักดันทำให้พัฒนาขึ้นมาจากสามบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนได้ แก่ อาลีบาบา ไป่ตู้ เทนเซ็นต์หรือที่เรียกรวมกันว่า BAT ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตของจีนและมีส่วนทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป

ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ผู้บริโภคจีนใช้ชีวิตกับดิจิทัลมากขึ้น โดยมีสัดส่วนการใช้งานประจำวันจากที่บ้านอยู่ที่ 20% สำหรับในเมืองระดับ 1-2 ของจีน เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว ฯลฯ ขณะที่ชาวอเมริกันมีสัดส่วนตรงนี้อยู่ที่ 25% อัตราส่วนที่ว่านี้ของคนจีนจึงเข้าใกล้กับชีวิตประจำวันของชาวอเมริกันมากขึ้น 

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลอีกว่า บริการแบบ Smart Speaker หรือลำโพงอัจฉริยะ ซึ่งเป็นแกดเจ็ตใหม่ที่กำลังมาแรงในสหรัฐ จีน และญี่ปุ่น มียอดขายในจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ด้านนี้ในจีนมีสัดส่วนการใช้งานที่ใกล้เคียงกับของสหรัฐ โดยเมื่อไตรมาสที่ 2 ของปีที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งการตลาดขึ้นมาแตะถึง 35% ทั้งที่ในไตรมาสแรกของปี 2560 มีเพียงแค่ 1% เท่านั้น

แล้วยังมีกรณีของร้านกาแฟแฟรนไชส์ใหม่อย่างเช่น Luckin Coffe ที่ถือว่าเป็น Chain Store ใหม่มาแรงของจีน ซึ่งส่วนหนึ่งสามารถขยายธุรกิจและประสบความสำเร็จได้ก็เพราะการนำระบบดิจิทัลเข้ามาช่วย 

อีกประเด็นที่น่าสนใจ การแข่งขันด้านอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ เป็นส่วนกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะในแง่ของการผลิต อุตสาหกรรม โลจิติกส์ซึ่งอยู่เบื้องหลังความสำเร็จทางการตลาด และประเทศที่ให้ความสำคัญกับด้านนี้ รวมถึงการเปลี่ยนผ่านจากแรงงานมนุษย์ไปสู่แรงงานเครื่องจักรและหุ่นยนต์มากขึ้น ปัจจุบันผู้ครองส่วนแบ่งด้านนี้ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน และเยอรมัน

อ้างอิงจาก Chinainternetwatch จะพบว่า จีนกลายเป็นชาติที่มียอดขายหุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมาก นับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา จากเดิมที่ 37,000 Units เมื่อถึงปี 2560 กลับมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 138,000 Units สัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 36%

ขณะเดียวกัน จีนยังกลายเป็นชาติที่มีส่วนแบ่งของรถยนต์อัตโนมัติแซงหน้าสหรัฐ ในปี 2560 รวมถึงมีการระดมทุนสำหรับสตาร์ทอัพในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันนี้มากกว่าสหรัฐ โดยจีนสามารถระดมทุนได้ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่สหรัฐทำได้ที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์

ธุรกิจดิจิทัล ยังไม่ได้เป็นเพียงแค่การนำเทคโนโลยีมาใช้กับภาคอุตสาหกรรม การผลิต หรือหุ่นยนต์ เท่านั้น แต่ยังมีการขยายขอบเขตไปยังสาขาอื่น เช่น ด้านไลพ์สไตล์ แฟชั่น ทั้งยังมีความเป็น Unique สำหรับตลาดจีนที่มีความหลากหลายในแต่ละมณฑล กล่าวได้ว่าการลงทุนในพื้นที่นี้ของตลาดจีนเป็นประเทศเดียวที่สามารถแข่งขันกับสหรัฐได้

ตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านของผู้บริโภคสำหรับการนำดิจิทัลมาใช้ในด้านไลพ์สไตล์ของจีน เช่น ในวงการแฟชั่น พบว่ามีส่วนช่วยในการกระตุ้นยอดขายและการทำตลาดทางอินเทอร์เน็ต การโฆษณา และการใช้วีแชท เว่ยป๋อ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น มีส่วนเพิ่มยอดขายในจีนได้มากกว่าสหรัฐถึง 10 เท่า ขณะที่แบรนด์ดังในสหรัฐยังเน้นการปั้นแบรนด์แบบออฟไลน์มากกว่าออนไลน์

ในทางกลับกัน แม้ว่าทางจีนจะเน้นการเข้าถึงผู้บริโภคด้วยดิจิทัล แต่การใช้ดิจิทัลกับภายในขององค์กรและบริษัทในสหรัฐยังมีมากกว่า เช่น หากเทียบสัดส่วนของผู้ใช้บริการคลาวด์เซิร์ฟเวอร์ สำหรับองค์กรและบริษัทขนาดใหญ่ในจีน ยังมีสัดส่วนน้อยกว่าในสหรัฐอยู่มาก เมื่อปี 2561 อยู่ที่ 30% ในขณะที่องค์กรและบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐมีการใช้คลาวด์มากถึง 80%

ปัจจุบัน มีผู้ให้บริการแพลทฟอร์มสำหรับอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตราว 150 บริษัททั่วโลก โดย 50 แห่งอยู่ในจีน และคาดการณ์ว่า จีนจะกลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งทางด้านอินเทอร์เน็ตในไม่ช้านี้ โดยเฉพาะการที่ยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมจีนล้วนเป็นผู้ให้บริการทางด้านแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น Alibaba ET Brain, Baidu lot และ Tencent Cloud ซึ่งทั้งหมดอยู่ในเครือของสามบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน

อย่างไรก็ตาม ส่วนของปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ สหรัฐอเมริกายังคงเหนือกว่าจีน แม้ว่าเอไอจะมาแรงอย่างมากในจีน โดยมีผู้นำหลักคือไป่ตู้ แต่ก็ยังไม่ได้โฟกัสเพื่อนำไปใช้งานในสาขาต่างๆ มากนัก ที่พบจะเน้นที่การใช้เพื่อข้อมูลและเทคโนโลยีมากกว่า ในขณะที่สหรัฐมีบริษัทที่ประยุกต์ใช้เอไอเพื่อการตลาดมากกว่าในจีน