กระแสสังคมที่ผันผวน กระแสชีวิตที่ผันแปรในยุคไอที !!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในสังคมมนุษยชาติย่อมเป็นธรรมดาที่จะประกอบด้วยชน ๒ จำพวก คือ บัณฑิตและคนพาล .. คนดีและคนชั่ว
ทั้งนี้ด้วยโลกธรรมย่อมต้องมีสองด้านที่แย้งกันอยู่เป็นธรรมดา จึงเรียกว่า โลกียวิสัย ที่มีลักษณะธรรมเคลื่อนตัวปรับเปลี่ยนไปตามกระแสแรงผลักและแรงดึงของโลกที่หมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์ .. อันเป็นไปตามกฎธรรมชาติ !!
การสร้างความสมดุลโดยกฎเกณฑ์ธรรมชาติ จึงเป็นธรรมนิยามที่ศักดิ์สิทธิ์เที่ยงตรง เพื่อตอบแทนคืนกลับความยุติธรรมให้กับสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกใบนี้อย่างเสมอภาคต่อกัน ด้วยการสร้างกฎเกณฑ์กรรมเข้าไปควบคุมสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณทั้งหลายให้อยู่ในความเป็นธรรมดา..
...ด้วยกฎความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติที่เป็นหลักธรรมได้แสดงตัวกฎอันศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังสูงสุดในการควบคุมสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ให้เป็นไปตามกฎของธรรมชาติว่า... เพราะอาศัยสิ่งนี้ สิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.. ที่เรียกว่า กฎอิทัปปัจจยตา..
กลับมาพิจารณาดูความเป็นคนพาลและบัณฑิตของมนุษยชาติทุกหมู่เหล่าที่ย่อมตกอยู่ภายใต้กฎความจริงแท้ดังกล่าว ด้วยเพราะทุกสิ่งทุกอย่างมิได้ผุดปรากฏเกิดขึ้นเอง หากแต่ว่ามีการกระทำ .. อาศัยการกระทำเป็นเหตุ จึงก่อผลเป็นคนชั่ว คนดี หรือคนพาลและบัณฑิตขึ้น ดังที่พระพุทธองค์ตรัสถึงลักษณะของคนพาลว่า “คนพาลในโลกนี้ มักจะคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ซึ่งถ้าคนพาลจักไม่เป็นผู้คิด ความคิดที่ชั่ว พูดคำพูดที่ชั่ว และทำการทำที่ชั่วแล้ว บัณฑิตพวกไหนจะพึงรู้จักเขาได้ว่า ผู้นี้เป็นคนพาล .. เป็นอสัตบุรุษ...”
วันนี้ในสังคมการเมืองบ้านเราจึงได้เห็นวาทะทุจริต การกระทำทุจริต ที่สะท้อนถึงมโนทุจริตของคนพาล ที่หาญอาสาออกตามล่าฝันด้วยจินตนาการทุจริต เพื่อสร้างโลกใหม่ตามมติของตนเองและหมู่คณะ
ด้วยกระแสการเรียนรู้ที่ไร้ขอบเขตจริยธรรม ในสมัยโลกที่เปิดกว้างไร้พรมแดน .. ประจวบกับสมัยแห่งการเจริญก้าวหน้าของระบบเทคโนโลยีที่สามารถสื่อสารติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว... จึงเกิดการไหลไปสู่จุดเดียว แนวเดียวกัน ของกลุ่มบุคคลที่มีข้อปฏิบัติอันเสมอกัน มีความเห็นอันเสมอกัน
กล่าวไว้เป็นหลักธรรมว่า คนในโลกนี้ทั้งสองจำพวก จักคบค้าสมาคมกัน เมื่อมีศีลและทิฏฐิเสมอกัน ไม่ว่าในหมู่บัณฑิตหรือคนพาล ดังที่สะท้อนความเป็นจริงให้ปรากฏในกลุ่ม .. คณะ .. พรรค ของบุคคลที่มาร่วมแสดงมติ เพื่อจักกระทำการใดๆ อันให้ได้มาซึ่งผลแห่งความต้องการของตนและหมู่คณะในสังคมนั้นๆ
การขับเคลื่อนแบบสุดโต่งในทุกสายจึงเกิดขึ้น เมื่อสังคมอ่อนล้าคุณธรรม .. ไร้จริยธรรม และศีลธรรมไร้ความศักดิ์สิทธิ์ดังแต่ก่อน... อะไรๆ ที่ไม่เคยเกิด .. อะไรๆ ที่ไม่เคยเห็นในสังคมที่เคยมั่นคงกับอารยธรรม ก็ย่อมปรากฏให้พบ .. ให้ได้เห็น เมื่ออนารยธรรมเข้ามาปรากฏ..
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสั่งสอนให้อย่าไปตามกระแสโลกที่ปรับเปลี่ยนไปมาตามเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสังคมอารยธรรมที่เคยเป็นหรืออนารยธรรมที่กำลังเข้ามาในปัจจุบัน สิ่งสำคัญคือ การมีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่พึ่ง หมายความว่า ให้พึ่งตนและพึ่งธรรม ไม่ใช่หันเหไปพึ่งวัตถุกาม โลกธรรมกัน จนละทิ้งการพัฒนาตนให้มีศักยภาพ ด้วยการพัฒนาจิตให้มีคุณธรรมด้วยการเจริญสติปัญญา ที่สามารถสลายมาร ขจัดปัญหา ชำระอนารยธรรมให้สิ้นไปได้ เป็นเหตุไม่ให้ตกอยู่ภายใต้การเบียดเบียนของโลกธรรม จนสูญเสียคุณค่าสัตว์ประเสริฐ
ดังปรากฏเหตุการณ์ในสังคมปัจจุบัน เมื่อมีการประพฤติผิดศีลธรรมกันมากขึ้น การออกระเบียบกฎหมายเพื่อมาคุ้มครองจึงเกิดขึ้น แต่กฎหมายที่เป็นแนวสังคมนิยมมิได้เป็นยาแก้โรคได้ชะงักในทุกโรค มิหนำซ้ำกลับทำให้บางโรคร้ายที่เกิดจากความชั่วร้ายในจิตใจของบุคคลในสังคมบางคน บางหมู่คณะ ยิ่งมากขึ้นจนยากจะควบคุมหรือขจัดโรคร้ายทางสังคมได้ด้วยกฎหมาย... ระเบียบแบบแผนวัฒนธรรมประเพณีจึงถูกมองข้าม ถูกดูถูกว่าเป็นของล้าสมัย .. แม้รอยยิ้มสยามกลับถูกหยิบยกมาตำหนิติเตียน มองเป็นดุจวัสดุสิ่งของที่เปื้อนมลพิษ ด้วยจิตใจอัปลักษณ์ของคนในยุคสมัยที่ปฏิเสธคุณความดี ... ไร้คุณธรรม คาดหวังอนาคตใหม่ที่เลื่อนลอยไร้อารยธรรม
การโหมกระพือแนวคิดที่ไร้คุณธรรม ผ่านวัตถุธรรมที่ไร้ใจ จึงเป็นยุทธวิธีทำลายปราการสังคมอารยธรรมที่เริ่มอ่อนล้า อ่อนแอ ด้วยผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน จึงเป็นจุดอ่อนให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นดุจโบราณวัตถุที่ไร้ความทันสมัยในโลกยุคไอทีเป็นเทพเจ้า..
ดังนั้นเมื่อศีลธรรมไร้คุณ กฎหมายไร้ค่า .. วิถีสังคมจึงเริ่มปั่นป่วน เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนจนยากต่อการจัดระเบียบควบคุม !!!
เจริญพร