เม็ดเงินกำลังปรับเข้าสู่“ตลาดหุ้น”

เม็ดเงินกำลังปรับเข้าสู่“ตลาดหุ้น”

ปัจจัยที่ไม่แน่นอนในปี 2561 ทั้งหมดน่าจะมีความชัดเจนในปี 2562

ปี 2561 บอกได้เลยว่าเป็นปีแห่งความผันผวนของระบบการเงินทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ราคาน้ำมัน และราคาทองคำ ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัย 4 ประการหลักพร้อมกัน นั่นคือ 1. ธนาคารกลางทั่วโลกดีงสภาพคล่องออกจากตลาดทุนด้วยการทยอยลดการอัดฉีดเงินผ่าน QE และการปรับขึ้นอัตราดอกเบื้ย 2. สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศต่างๆทั่วโลกหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีจบลง 3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านการซื้อขายออนไลน์เพิ่มขึ้น 4. การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดในประเทศไทย (สำหรับนักลงทุนไทย)
ไม่เพียงแต่ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงในปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น หรือเกือบทั่วโลกไม่สามารถสร้างอัตราตอบแทนได้ตามนักวิเคราะห์คาด ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างดูไม่เห็นจุดจบในสิ้นปี 2561 ที่ผ่านมา ทำให้มุมมองด้านการลงทุนส่วนใหญ่ประเมินว่า ปี 2562 น่าจะดูแย่ตลอดทั้งปี

ในทางกลับกัน ผมมองว่า ปัจจัยที่ไม่แน่นอนในปี 2561 ทั้งหมดน่าจะมีความชัดเจนในปี 2562 หมูทองนี้ 

1.อัตราดอกเบี้ยสหรัฐน่าจะหยุดปรับขึ้น หลังจากเริ่มปรับเพิ่มจากปี 2559 อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐกำลังเข้าใกล้ค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 3.25% เทียบกับปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเฟดฟันด์ที่ 2.50% ดังนั้นการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 2-3 ครั้งในสหรัฐเป็นสิ่งที่คาดในตลาดทุน ตลาดเงิน จากสถิติในอดีต การคาดการณ์ว่าเฟดจะหยุดอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ตลาดหุ้นเริ่มสร้างฐาน เม็ดเงินจะทยอยไหลกลับเข้าตลาดหุ้นอีกครั้ง หากไม่เกิดปัญหาสถาบันการเงิน สังเกตว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐไม่ได้ปรับตัวลงมากท่ามกลางความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอ (เงินไหลเข้าพันธบัตรสหรัฐเริ่มชะลอ) ราคาทองคำปรับขึ้นเล็กน้อยรับกับคาดการณ์ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวเทียบเงินสกุลเอเซีย ราคาน้ำมันดิบเริ่มทรงตัวและฟื้นตัวภายหลังโอเปคเริ่มปรับกำลังการผลิตให้สมดุล

2.การเจรจาระหว่างสหรัฐและจีน ยังคงเดินหน้าต่อไป แต่ควรสรุปจบได้ในปีนี้ โดยสมมติฐาน ผู้นำของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจไม่สบายใจต่อตัวเลขเศรษฐกิจของตนเอง ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัล ทรัมพ์คาดหวังความสำเร็จเจรจาการค้าสร้างความมั่นใจให้กับตลาดหุ้น ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง เริ่มให้จีนปรับมาตรการลดกำแพงภาษีนำเข้ารถยนต์ต่างประเทศ การสั่งซื้อนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐเพิ่มขึ้น การยอมรับข้อเรียกร้องเปิดตลาดการเงินสำหรับธนาคารสหรัฐ เป็นต้น แน่นอน ผมไม่ได้คาดหวังว่า ผลการเจรจาจะจบด้วยการ Set Zero แต่มูลค่าสินค้าที่จะต้องโดนกำแพงภาษีเพิ่มไม่ขยายตัวก็พอ

3.การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคไปสู่ออนไลน์ ทำให้บริษัทขนาดเล็ก-กลางมีปัญหาในเรื่องการปรับธุรกิจตัวเลขเข้าสู่ระบบซื้อขายใหม่ กำไรบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ของประเทศไทยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อตัวเลขกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่กำไรบริษัทขนาดเล็กถดถอย ส่งผลให้ความมั่นใจการลงทุนบั่นทอน และสะท้อนมาที่ ค่าพีอีหุ้นส่วนใหญ่ปรับลดลง ราคาหุ้นปรับร่วงลงมาก ราคาหุ้นในปัจจุบันดูสมเหตุผลมากขึ้น หรือเราอาจเรียกว่า ราคาหุ้นยุคฟองสบู่ เริ่มกลับเข้าสู่สมดุลมากขึ้น ค่าพีอีรวมของตลาดหุ้นเอเซีย และไทยลดลงกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยระยะยาว

4.การเลือกตั้งในประเทศไทย น่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ ในหลายยุคสมัย พรรคการเมืองพยายามออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในยุคนี้ การออกนโยบายประขานิยมทำได้ยากขึ้นตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้นนโยบายหลายประการเรี่มหันมาด้านประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ซึ่งบางนโยบายก็กระทบกับคาดการณ์อัตรากำไร และการเติบโตกำไรของธุรกิจบางประเภท

ผมประเมินว่า นักลงทุนในตลาดทุนไม่ชอบความไม่แน่นอน สังเกตจากตลาดหุ้นผันผวนมากไปตามกระแสข่าวรายวัน ทวีตเตอร์ แต่เมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นความแน่นอนชัดเจน นักวิเคราะห์จะสามารถประเมินสถานการณ์ได้ดีขึ้น ผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนทั่วโลกสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า กลุ่มไหนรุ่ง กลุ่มไหนร่วง ดังนั้น การปรับพอร์ตจะทำได้ง่ายกว่า

มูลค่าตลาดหุ้นไทย และราคาหุ้นหลายบริษัทเริ่มปรับตัวเข้าสู่ระดับเฉลี่ยระยะยาว 10 ปี ดังนั้น การปรับตัวของตลาดหุ้นไทยในปี 2561 ได้สะท้อนปัจจัยความไม่แน่นอนไประดับหนึ่งแล้ว ดังนั้น หากดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเทรดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว มักจะเกิดขึ้นในกรณีเศรษฐกิจมีโอกาสหดตัว กำไรบริษัทจดทะเบียนเริ่มหดตัว และอัตราจ่ายเงินปันผลมีความเสี่ยงปรับตัวลงมาก