ผลเลือกตั้งหรือกำไรบริษัทจะหนุนหุ้นอเมริกา

ผลเลือกตั้งหรือกำไรบริษัทจะหนุนหุ้นอเมริกา

ใกล้เข้ามาแล้วกับการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้

โดยสหรัฐฯ จะมีการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาล่างจำนวน 435 ที่นั่ง และวุฒิสภาหรือสภาบนอีกหนึ่งในสาม คิดเป็น 35 ที่นั่ง และนี่เป็นเหตุการณ์ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญว่า ปธน. ทรัมป์ จะสามารถรักษาฐานเสียงส่วนมากไว้ได้หรือไม่ และผลการเลือกตั้งจะกระทบทิศทางของนโยบายการคลัง เช่น การปฏิรูปภาษี และนโยบายกีดกันทางการค้า หรือไม่ และอย่างไร

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2016 ที่ ปธน.ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ถือได้ว่าเป็นเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ของโลก จากที่นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงถ้วนหน้า แต่ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯกลับปรับขึ้นมาแล้วกว่า 35% ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา สำหรับการคาดการณ์ปัจจุบัน ตลาดมองว่าพรรคริพับลิกันของ ปธน. ทรัมป์ จะยังคงรักษาเสียงข้างมากในสภาบนไว้ได้ แต่จะเสียเสียงข้างมากในสภาล่างให้กับพรรคเดโมแครต

โดยพรรคเดโมแครตต้องการชัยชนะเพียงแค่ 23 ที่นั่ง เพิ่มเติมในสภาล่าง ซึ่งปัจจุบัน 69 ที่นั่งจาก 435 กำลังแข่งขันกันอย่างสูสี ปกติแล้วในการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ฝ่ายรัฐบาลจะสูญเสียที่นั่ง เนื่องจากประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะออกมาใช้เสียงสูงกว่าประชาชนที่พอใจนั่นเอง จากสถิตินับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 พบว่า โดยเฉลี่ยฝ่ายรัฐบาลจะเสียที่นั่งในสภาล่าง 26 ที่นั่ง และสภาบน 4 ที่นั่ง

ในทางตลาดหุ้น จากสถิติพบว่า ดัชนี S&P500 มักจะปรับตัวลงก่อนการเลือกตั้งกลางเทอม แต่จะปรับตัวขึ้นภายหลังเลือกตั้งแล้วเสร็จ 1 ปี โดยเฉลี่ยถึง 12% จากการรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ปี 1930 เป็นต้นมา และสูงกว่าการปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ยที่ 6% ในปีที่ไม่มีการเลือกตั้งกลางเทอม อย่างไรก็ดี การชนะเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตในต้นเดือนหน้า อาจส่งผลให้การทำงานของรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น การผ่านกฎหมายต่างๆ ทำได้ยากลำบากขึ้น บวกกับ ปธน. ทรัมป์ มีความเสี่ยงที่จะถูกเดโมแครตสอบสวนหรือถูกเสนอถอดถอนออกจากตำแหน่งได้

ดังนั้น แม้ตลาดหุ้นจะตอบสนองในทางบวกเช่นที่เกิดขึ้นในอดีต แต่การปรับเพิ่มขึ้นน่าจะอยู่ในกรอบจำกัดเท่านั้น ข้ามมาที่ฝั่งตราสารหนี้ คาดว่า Yield พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะลดลง (ราคาเพิ่มขึ้น) เพราะความสามารถในการเบิกใช้งบประมาณเพื่อสนับสนุนนโยบายการคลังของ ปธน. ทรัมป์ จะลดลง และอัตราดอกเบี้ยจะลดลง (ราคาพันธบัตรจะปรับตัวขึ้น) จากระดับการกู้ยืมของภาครัฐฯ ที่แม้ว่าจะเพิ่มขึ้น แต่จะเป็นไปในอัตราที่ช้าลง สำหรับกรณีที่อาจทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแรง น่าจะเกิดในสถานการณ์ที่พรรคเดโมแครตชนะเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง ซึ่งจะเป็นเซอร์ไพรส์ต่อตลาด

อีกหนึ่งปัจจัยที่ตลาดให้ความสำคัญสำหรับช่วงเวลาเดียวกัน คือ การประกาศผลประกอบการหรือกำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ประจำไตรมาส 3 ที่หลายๆ บริษัททะยอยประกาศกำไรสุทธิที่ดีกว่าคาด ดันให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น นักลงทุนลืมเรื่องความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าและนโยบายการเงิน (การขึ้นดอกเบี้ยของ FED) ที่ทำให้ตลาดผันผวนสูง หันกลับมายินดีกับระดับรายได้และกำไรสุทธิของบริษัทที่สูงกว่าการคาดการณ์ที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ถึง 0.5% และ 4.3% ตามลำดับ

โดยกลุ่มธุรกิจที่มีผลกำไรโตดีกว่าคาด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มการเงินการธนาคาร และกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี สาเหตุสำคัญที่ทำให้ปี 2018 เป็นปีที่ดีของเหล่าบริษัทในสหรัฐฯ ก็เพราะนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลของ ปธน.ทรัมป์ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปลายปี 2017 ซึ่งผลบวกของการลดภาษีนั้นจะเริ่มหายไปจากการรายงานอัตราการเติบโตของผลกำไรในปีหน้า

โดยสรุป ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี ยังน่าจะได้แรงสนับสนุนจากทั้งผลการเลือกตั้งและผลประกอบการที่ดี แต่ความเสี่ยงด้านขาลง (Downside) ก็สูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากสภาพตลาดปีนี้ที่หุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เข้าสู่ Late Cycle (ช่วงท้ายๆ ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ)

โดยความเสี่ยงสูงสุดมาจากอัตราการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ FED ที่หากขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไปก็จะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สะดุดลง ตลาดทุนมีโอกาสปรับฐานแรงในทันที