เบื้องหลังเกมสกัด !! ขายหุ้นโรงกลั่นบางจาก

เบื้องหลังเกมสกัด !! ขายหุ้นโรงกลั่นบางจาก

"มันอะไรกันนักกันหนา ... บ้านนี้เมืองนี้" เป็นคำพูดจากคนบางกลุ่ม ที่รู้สึกรำคาญกับสิ่งที่กำลังจะปรากฏขึ้น

การประกาศเชิญชวนผู้สนใจเข้าซื้อหุ้นโรงกลั่น บริษัท บางจากปิโตรเลียม (BCP) ที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ถืออยู่ 27.22% ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยก็มีอยู่ 4 กลุ่มใหญ่ที่เสนอตัวเข้าซื้อหุ้นโรงกลุ่นของBCP กลุ่มแรกเป็นอดีตผู้บริหารปตท. กลุ่มบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) กลุ่มบริษัท ซัสโก้ (SUSCO) และกลุ่มบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) หรือกลุ่มปักษ์ใต้เชื้อเพลิง เดิมนั่นเอง

ทั้ง 4 กลุ่มมีเจตนาชัดเจนที่อยากจะเข้าซื้อหุ้น แต่เหตุไฉนพอใกล้เสนอราคากลับมี 2 กลุ่ม ถอนตัวเสียดื้อๆ ซะอย่างนั้น ว่ากันว่าเป็นกลุ่ม "ซัสโก้ กับปักษ์ใต้เชื้อเพลิง" เกิดอะไรขึ้น? เดิมทีผู้บริหารกลุ่มนี้ประกาศตัวชัดเจนที่จะเข้าซื้อหุ้น แต่ทว่าหากมองโลกในแง่ดี ไม่มีสิ่งอื่นขวางกั้น หรือสกัดกั้นคนกลุ่มนี้ เป็นไปได้ที่จะไม่สู้ราคาสูงๆ

แต่ที่แน่ๆ มี 2 กลุ่มที่ยอมเสนอราคาซื้อหุ้นโรงกลั่นBCP นั่นคือ กลุ่ม พีทีจี เอ็นเนอยี ของตระกูล"มหากิจศิริ" กับกลุ่ม "อดีตผู้บริหารปตท."

แต่สิ่งที่แปลกประหลาดของ 2 กลุ่มนี้นั่นคือ ราคาเสนอซื้อ กลุ่ม "มหากิจศิริ" เรียกว่ามีความมั่นอกมั่นใจมากอยากจะได้หุ้นโรงกลั่น BCP เสนอราคาให้ถึงหุ้นละ 36 บาท ขณะที่กลุ่ม "อดีตผู้บริหารปตท." เสนอราคาซื้อแค่หุ้นละ 27 บาท ราคาในตลาดหุ้นตอนนี้อยู่ที่ 33.50 บาท

ราคาเสนอซื้ออย่างนี้ ไม่ขายไม่รู้จะพูดว่าอะไรแล้ว แต่หากจะให้ถามใจ "ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์" ประธานคณะกรรมการปตท. วันนี้คงนั่งยัน นอนยัน ที่จะขายหุ้นส่วนนี้ออกจากปตท.แน่ เรียกว่าเป็นไงเป็นกัน

มีสิ่งหนึ่งที่ "ปิยสวัสดิ์" พูดเสมอว่าเหตุผลที่ต้องขายหุ้นตัวนี้ออกก็เพราะ "ต้องการสร้างความโปร่งใสในธุรกิจน้ำมัน ลดปัญหาการผูกขาดตลาดลง ที่ผ่านมาปตท.ถือหุ้นในตลาดค้าส่งน้ำมันมากเกินไป" มิหนำซ้ำช่วงที่ผ่านมาก็มีกระแสเรียกร้องลดการผูกขาดของปตท.ในตลาดน้ำมันมาอย่างต่อเนื่อง

มาวันนี้รู้ไหม?...เกิดอะไรขึ้นกับเรื่องนี้ ไม่เชื่อ..ก็ต้องเชื่อ.. ช่วยบอกทีบ้านเราทำอะไรไม่มีใครแทรกแซงจริงหรือ?

บางครั้งการเสนออะไรดีๆ แพงๆ ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับคัดเลือก หรือจะได้เสมอไป อย่างกรณีนี้ กลุ่ม "มหากิจศิริ" คิดการใหญ่ร่วมกับ "เบอร์แมค" จากสิงคโปร์ ซึ่งบริษัทโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ ถือหุ้นอยู่ 26% ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นโรงกลั่น BCP แถมให้ราคาดีกว่าราคาในตลาด

ราคาเสนอซื้อ 36 บาทต่อหุ้น ว่ากันว่าเสนอไปตั้งแต่ 2 อาทิตย์ก่อน แต่ตอนนี้กำลังกลายเป็นปมทางการเมืองไปเสียแล้ว ด้วยข้อหา "ตรงข้ามรัฐบาล" ไม่รู้ของจริงหรือข้ออ้างกันแน่

อยู่ๆ ดันมี "เสี่ย ส." กระโจนใส่เข้ามาแสดงความประสงค์ ที่อยากจะให้กระทรวงการคลังเข้าซื้อหุ้นส่วนนี้ ไปดึงเอา "กองทุนวายุภักษ์" เข้ามาซื้อแทน แต่กลับมีการเจรจา กับกลุ่ม "เสี่ย พ." ทำนองรับซื้อคนละครึ่ง ในราคาเดียวกับที่กลุ่ม "มหากิจศิริ" เสนอซื้อ นั่นคือหุ้นละ 36 บาท อย่างนี้ไม่ตีกัน ไม่กีดกัน ไม่แทรกแซง ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แล้วข้ออ้างไม่เอากลุ่ม "มหากิจศิริ" เพราะ "อยู่ตรงข้ามรัฐบาล" มันจริงหรือนี่

ที่แน่ๆ ตอนนี้กลุ่ม "เสี่ย พ." ได้เสนอขอกู้เงินจากแบงก์กรุงไทย เพื่อจะมาแบ่งเบาค่าหุ้นฝ่ายละครึ่งกับ "กองทุนวายุภักษ์ " ไปเสียแล้ว

งานนี้สงสัยภาระหนักคงจะไปตกอยู่ที่ปตท.มีผู้เสนอราคาสูงแบบนี้ทำไม? ไม่ขาย จะตอบสังคมอย่างไร แม้เงื่อนไขจะบอกว่าปตท.รับหรือไม่รับราคาที่เสนอมาก็ได้ ขายหรือไม่ขายก็ได้

วันนี้หากให้ทายใจ "ปิยสวัสดิ์" ยังไงก็ต้องขายหุ้นส่วนนี้ออกแน่ ใครเป็นเจ้าของคงไม่สำคัญ แต่เมื่อมีสิ่งขวางกั้นเกิดขึ้นอย่างนี้ ใครคือผู้รับผิดชอบตัดสินใจเรื่องนี้ ...