ทำไมควรเปิดไฟขับรถ เมื่อฝนตก ... ปิดไฟ ผลร้ายมากกว่าที่คิด

เมื่อฝนตก  สภาพแวดล้อมในการขับรถเปลี่ยนแปลงไป ทั้งสภาพเส้นทาง พื้นผิวถนน และทัศนวิสัยในการขับขี่

และมีคำแนะนำที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่า ถ้าฝนตกแม้จะเป็นช่วงเวลากลางวัน ผู้ใช้รถควรจะต้องเปิดไฟขับรถทุกครั้ง หมายถึงไฟหน้ารถ และเป็นไฟใหญ่ ไม่ใช่ไฟหรี่ ไฟตัดหมอก หรือว่าไฟฉุกเฉิน (hazard light)

แต่ที่พบเห็นในความเป็นจริง สิ่งที่พบเห็นเมื่อมีฝนตกเวลากลางวันคือ ผู้ขับขี่รถยนต์จำนวนไม่น้อย ยังคงปฏิบัติตามปกติ เหมือนกับช่วงไม่มีฝนตก ไม่เปิดไฟแต่อย่างใดทั้งสิ้น

ทั้งนี้เป็นเพราะในช่วงเวลาที่ฝนตกกลางวัน ยังมีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่ทำให้ผู้ขับยังมองเห็นเส้นทาง หลายคนอาจลองเปิดไฟ และก็เห็นว่ามองเห็นเส้นทางไม่ต่างกับรถปิดไฟ จึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดไฟแต่อย่างใด

แต่ในความเป็นจริง คำแนะนำให้เปิดไฟขับขี่ช่วงฝนตกกลางวัน คือ การเพิ่มทัศนวิสัยให้กับผู้ขับขี่รถคันอื่นให้เห็นรถคันที่เปิดไฟได้ง่ายขึ้น 

เพราะหากผู้ขับขี่จะสังเกตสักนิดจะเห็นว่าแม้จะมองเห็นเส้นทางได้ แต่การมองเห็นรถคันอื่นรอบตัว โดยเฉพาะด้านข้าง และด้านหลัง เมื่อต้องมองผ่านกระจกมองข้าง และมองหลัง มองเห็นได้ไม่ชัดเจน หรือบางครั้งบางจังหวะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ 

เพราะการมองผ่านกระจกที่มีหยดน้ำเกาะ และเป็นการมองแบบเสี้ยววินาที หรือเป็นการมองแบบใช้หางตา หรือลานสายตา เพราะสิ่งที่ต้องมองหลักๆ คือเส้นทางด้านหน้า

ดังนั้นบางทีจึงไม่เห็นรถคันอื่น ในสภาพทัศนวิสัยดังกล่าว จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การขับชนท้าย การชนกับรถที่วิ่งสวนทางมา ในกรณีที่แซงบนถนนแบบ 2 เลนสวนทาง หรือ การชนจากการเปลี่ยนเลน เนื่องจากไม่เห็นว่ามีรถคันอื่นอยู่ในช่องทางนั้น 

ลองดูภาพความแตกต่างในการมองเห็นรถคันอื่น ผ่านกระจกมองข้าง  

ไม่เปิดไฟ

เปิดไฟ

ไม่เปิดไฟ 

เปิดไฟ

จะเห็นถึงความแตกต่างในการมองเห็น ดังนั้นทุกครั้งที่ฝนตก หรือแม้แต่ช่วงทัศนวิสัยลดลง เช่น ฟ้าครึ้ม โพล้เพล้ เช้ามืด จึงควรเปิดไฟหน้ารถทุกครั้งที่ขับขี่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือเรื่องยุ่งยากอะไรอะไรเลย แต่ผลที่ได้มานั้น เกินคุ้ม