ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน (2)...เริ่มต้นด้วยอุปสรรค

ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน (2)...เริ่มต้นด้วยอุปสรรค

ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ทริป เริ่มต้นเดินทางจากเมืองไทยไปสิ้นสุดที่อิตาลี ผ่าน 17 ประเทศ 2 ทวีป ในระยะเวลา 45 วัน

     วันอาทิตย์ ซึ่งน่าจะเป็นวันพักผ่อนประจำสัปดาห์ แต่ผมต้องลากกระเป๋าใบเขื่องขึ้นบีทีเอสต่อด้วยแอร์พอร์ท เรลลิงค์ ไปสุวรรณภูมิแต่เช้าตรู่ ก่อนจะขึ้นแอร์ เอเชียนา ไปลงที่อัลมาตี้ เมืองหลวงของคาซัคสถาน

     ใช้เวลาไม่นานก็ผ่าน ตม.ออกไปได้อย่างสะดวก แต่เปล่าครับ เป้าหมายผมไม่ได้อยู่ที่ประเทศที่ค่อนข้างร่ำรวยในเอเชียกลางแห่งนี้ แต่มาเพื่อจะต่อเครื่องไปยังอุซเบกิสถานซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นเดินทางของผมกับ “Hilux Revo Caravan Trip...Prove the World”

     หลายคนอาจมีคำถามว่าทำไมต้องขอวีซ่าเข้าเมืองทั้งที่แค่แวะต่อเครื่องเท่านั้น คำตอบก็คือ เราได้เครื่องคนละสายการบินกัน ทำให้ต้องตีตราเข้าคาซัคสถานไปนั่งเล่น 5-6 ชม. ซึ่งเวลาที่มีแบบครึ่งๆกลางๆ ทำให้ตัดสินใจยึดลานโล่งของร้านอาหารในสนามบินนั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ รอเวลาโดยไม่ออกไปไหน โชคดีที่อากาศที่อามัลตี้เย็นสบาย มองเห็นหิมะอยู่บนยอดเขาไกลๆ แต่ใครจะรู้ว่านี่เป็นอากาศเย็นสบายแค่ช่วงสั้นๆ ช่วงเดียวเท่านั้น ที่จะได้เจอตลอดทริปนี้

     ออกจากสุวรรณภูมิแต่เช้า แต่ถึงโรงแรมที่พักในเมืองทัชเคนท์ เกือบเที่ยงคืน ทั้งที่อุซเบกิสถานใกล้กว่ายุโรปตั้งเยอะ แต่อย่างว่าแหละครับ เรื่องของความสะดวกในการเดินทางต่างกัน ลองไม่มีไฟลท์บินตรง ก็ต้องทำใจว่าเวลาของเราจะถูกขโมยไปบ้างอย่างแน่นอน

     ที่โรงแรมเรดิสัน ทัชเคนท์ ทีมงาน ทรานส์เอเชียและโตโยต้ามารอต้อนรับด้วยท่าทีอิดโรยพอควร แต่ดูตาก็รู้ทันทีว่าใจยังไหว ถามไถ่ก็ได้ความว่าคืนก่อนต้องเดินทางกันเกือบทั้งคืนมาถึงที่หมายตอนตี 5 กันเลยทีเดียว ก็ได้แต่หวังว่าช่วงการเดินทางของผมจะไม่เจอเหตุการณ์อย่างนั้น

     แต่ของอย่างนี้เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ครับ เราต้องพร้อมรับเสมอ กับการเดินทางในรูปแบบคาราวานทางไกลที่มีรายละเอียด องค์ประกอบ และเหตุการณ์เฉพาะหน้ามากมาย

     แล้วก็เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่วันแรกที่มีกำหนดจะต้องเดินทางจากทัชเคนท์ ไปชาร์มาคาน เพราะจะต้องไปทำเอกสารผ่านด่านในประเทศซึ่งมีอยู่ตลอดทางเสียก่อน ซึ่งปกติก็เข้มงวดอยู่แล้ว แต่บังเอิญช่วงที่ผมไปจะมีประชุมใหญ่ SCO Leaders Meeting ซึ่งสมาชิกในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย รัสเซีย, จีน, คาซัคสถาน, คีร์กิสถาน, ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน และมีสมาชิกสังเกตุการณ์ คือ อาฟกานิสถาน,เบลารุส, อินเดีย, อิหร่าน, มองโกเลีย และปากีสถาน

     งานนี้มีผู้นำที่โลกรู้จักดีอย่าง วลาดิเมียร์ ปูติน หรือว่า สี จิ้นผิง มาร่วมวงด้วย จึงไม่ต้องแปลกใจในความเข้มงวดช่วงนี้ แม้แต่โรงแรมที่ผมพักซึ่งเป็นสถานที่รองรับแค่ทีมงานนะครับ ไม่ใช่ผู้นำ ยังมีตำรวจมาดูแลใกล้ชิด ที่หน้าโรงแรมคนงานเร่งมือติดตั้งไฟส่องสว่างใหม่ เพิ่มกล้องวงจรปิด และที่ฝาท่อระบายน้ำก็จัดการเชื่อมเหล็กปิดกันเลยทีเดียว

     สรุป วันแรกขบวน “ไฮลักซ์ รีโว่” ต้องจอดนิ่งอยู่ที่ลานจอดรถเช่นเดิม ไม่ได้ไปไหนเพราะเอกสารเสร็จตอนเย็นย่ำ สัมภาระที่ลำเลียงขึ้นรถไปแล้ว ก็ต้องทยอยเอาลง เราต้องจองโรงแรมเดิมเพิ่มอีก 1 คืน แล้วทิ้งโรงแรมที่ชาร์มาคาน เมืองมรดกโลก ไปอย่างน่าเสียดาย

     แต่ไม่เป็นไร เสียเวลาตอนนี้ เพื่อความสะดวกในวันพรุ่งนี้ ดีกว่าไปเจอปัญหากลางทาง

     วันรุ่งขึ้นการเดินทางจึงต้องรวบระยะทาง 2 วัน ไว้ในวันเดียว จากทัชเคนท์เป้าหมาย บูคาร่า โดยที่เมืองสวยงามอย่างชาร์มาคานเป็นได้แค่เพียงสถานที่แวะทานอาหารกับเที่ยวชม “รีจิสถาน สแควร์” กลุ่มมัสยิดและโรงเรียนสอนศาสนาขนาดใหญ่ที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดและเก่าแก่หลายร้อยปีเพียงชั่วครู่เท่านั้น

     ครับ อุซเบกิสถาน มีมัสยิดสวยๆ และใหญ่โตมากมาย เพราะประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ด้วยความที่เคยเป็นอดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งปกครองในรูปแบบสังคมนิยมมาก่อน ดังนั้นความเคร่งก็อาจจะไม่ได้มากนัก

จริงๆ แล้วอุซเบกิสถานมีประวัติที่ยาวนานกว่านั้น เคยถูกยึดครองโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช เคยถูกผนวกเป็นอาณาจักรเปอร์เซีย เคยถูกยึดครองโดยเจงกิสข่าน ก่อนที่โซเวียตจะขยายอิทธิพลเข้ามาอยู่ช่วงหนึ่ง และได้รับอิสระภาพหลังการล่มสลายของโซเวียตในปี 2534