เปิดโพลเด็กไทย ทุกช่วงวัย อยู่-ดี-มี-สุข หรือยัง?

เปิดโพลเด็กไทย ทุกช่วงวัย อยู่-ดี-มี-สุข หรือยัง?

อาจเป็นกระจกอีกบานที่สะท้อนคุณภาพชีวิตเด็กไทยเทียบกับเด็กทั่วโลก เมื่อผลการศึกษาจาก “โครงการการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนเพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21  ซึ่งจัดทำโดยศูนย์พัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ที่กำลังสะท้อนว่า การพัฒนาคุณภาพเด็กไทย ไม่อาจมองเฉพาะมิติด้าน “สุขภาพ” หากแต่ยังครอบคลุมบริบทและความหลากหลายมิติของชีวิตเด็ก

โครงการดังกล่าวมีการจัดทำวิจัยชุดโครงการวิจัยย่อย 7 โครงการ ใน 7 ประเด็น ได้แก่ 1.โครงการศึกษางบประมาณรายจ่ายภาครัฐเพื่อการพัฒนาเด็กในช่วงอายุ 0-3 ปี ในประเทศไทยยังมีไม่เพียงพอ  2.โครงการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างครอบครัวประเภทต่าง ๆ บทบาทของบิดาและมารดากับการดูแลพัฒนาการของเด็กช่วงอายุปฐมวัยในประเทศไทย  3. โครงการความสุขของเด็กไทยในวัยเรียน:เด็กประถมศึกษา 6-12 ปี และ 4 ปัจจัยที่ทำให้เด็กมีความสุขที่เพิ่มขึ้น 4.โครงการกวดวิชาในบริบทของระบบการศึกษาไทย ณ ศตวรรษที่ 21 5.โครงการการศึกษาการเล่นเกมของเด็กไทย  6.โครงการพัฒนาความฉลาดรู้ด้านสะเต็มศึกษาของเด็กไทยเพื่อให้ก้าวไกลทันยุค 4.0 และ 7.โครงการพัฒนาองค์ความรู้และขับเคลื่อนการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการจ้างงาน

ซึ่ง ศ.ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ หัวหน้าโครงการ  กล่าวว่า ประโยชน์ของการศึกษาคือผลการศึกษาจากงานวิจัยทั้ง 7 โครงการ จะทำให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ การสังเคราะห์เชิงนโยบาย การสร้างโมเดลระดับพื้นที่เพื่อช่วยในการส่งเสริมการพัฒนาเด็กที่เชื่อมโยงจากบ้านสู่ระบบการศึกษาและเข้าสู่ภาคแรงงานของเยาวชน

 

ชี้รัฐลงทุน “ปฐมวัย” ยังต่ำ เพียงวันละ 62 บาท

แม้ช่วงเวลาสำคัญที่สุดของพัฒนาการเด็กคือช่วงอายุ 0-3 ปี ซึ่งควรให้ความสำคัญส่งเสริมพัฒนาการในช่วงปฐมวัยมากที่สุด แต่ข้อมูลจาก รศ.ดร.ศาสตรา สุดสวาสดิ์ และผศ.ดร.ภาวิน ศิริประภานุกูล นักเศรษฐศาสตร์ ในฐานะตัวแทนผู้จัดทำโครงการศึกษางบประมาณรายจ่ายภาครัฐ เพื่อการพัฒนาเด็กในช่วงอายุ 0-3 ปีในประเทศไทย ได้เสนอรายงานการศึกษาพบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ.2562  สวัสดิการภาครัฐของไทยเพื่อการพัฒนาเด็กช่วงอายุ 0-3 ปีทั้งหมดอยู่ที่ 58,508 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ร้อยละ 2.0 หรือคิดเป็นร้อยละ 0.4 ของจีดีพี และหากคิดเป็นงบประมาณต่อคนจะพบว่าเท่ากับ 22,806 บาทต่อคนต่อปีเท่านั้น

ซึ่งเมื่อเทียบกับงบประมาณในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการที่จัดสรรให้เด็กที่มีอายุ 3-17 ปี ที่อยู่ในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน งบประมาณก้อนนี้อยู่ประมาณ 405,174 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายประจำปีถึงร้อยละ 13.5 คิดเป็น 2.6 ของจีดีพี คิดเป็นงบประมาณต่อคน 34,837 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งสูงกว่าของการลงทุนเด็กช่วงวัย 0-3 ปี ในทุก ๆ ด้านถึง 1.5 เท่า

ผลการศึกษาดังกล่าว ยังได้นำมาสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาเด็กปฐมวัย ไว้ 6 เรื่อง ได้แก่ 1.ขยายสิทธิการฝากครรภ์ของมารดาภายใต้ระบบประกันสุขภาพทั่วหน้า และให้ขยายสิทธิ์ในการฝากครรภ์นอกพื้นที่ตามทะเบียนบ้านได้ 2.ต้องมีโครงการเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดแบบมีเงื่อนไขที่ผูกกับการประเมินพัฒนาการเด็กตามช่วงวัยและโภชนาการ คือ รัฐต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมประมาณ 30,918 ล้านบาท 3.โครงการอาหารเช้าของเด็กที่อยู่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยรัฐสนับสนุนเด็กแรกเกิดในศูนย์เด็กเล็ก เพิ่มงบ 3,142 ล้านบาท กรณีพื้นที่เขตเทศบาลเพิ่มงบประมาณ 1,757 ล้านบาท 4.สนับสนุนให้มีนักโภชนาการท้องถิ่น 5.เพิ่มทางเลือกในการเลี้ยงดูเด็กเล็กช่วงอายุ 1-2 ปี เช่น ขยายเกณฑ์การรับดูแลเด็กของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เป็นต้นและ 6.โครงการรณรงค์การลดปริมาณการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่เกินความจำเป็นและรณรงค์การกำจัดขยะผ้าอ้อมให้ถูกต้อง

ขณะเดียวกัน อีกผลสำรวจจาก โครงการการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างครอบครัวประเภทต่าง ๆ บทบาทของพ่อและแม่กับการดูแลทางสาธารณสุขและพัฒนาการเด็กช่วงอายุปฐมวัยในประเทศไทย โดย ผศ.ดร.ธัชนันท์ โกมลไพศาล นักเศรษฐศาสตร์ผู้จัดทำโครงการดังกล่าว เอ่ยว่าถ้าเด็กอยู่ในครัวเรือนที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ในบ้าน อาทิ อาจจะอยู่กับญาติ หรือถูกรับมาเลี้ยง เด็กเหล่านี้จะถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังมากกว่าครัวเรือนแบบอื่น ๆ นอกจากนั้น อีกหนึ่งกลุ่มเสี่ยง คือครัวเรือนที่แม่ไม่ได้อาศัยอยู่ด้วย จะได้รับโอกาสการเลี้ยงดูด้วยนมแม่น้อยกว่าเด็กในครัวเรือนอื่น ๆ แม้จะมีการควบคุมปัจจัยอื่น ๆ ครบถ้วน

อย่างไรก็ดี หากในทุกครัวเรือนมีการส่งเสริมกิจกรรมให้เด็กทำส่งผลต่อพัฒนาการอย่างชัดเจน โดยพบว่า การที่ครัวเรือนมีนิทานติดไว้ที่บ้านให้ลูกและการที่พ่อพาลูกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน มีผลเชิงบวกต่อพัฒนาการทางพฤติกรรมที่สมวัยของเด็ก

เปิดโพลเด็กไทย ทุกช่วงวัย อยู่-ดี-มี-สุข หรือยัง?

“เด็กประถม” สุขกลาง ๆ  แต่ตารางชีวิตแน่นเอี้ยด

ผศ.ยศวีร์ สายฟ้า คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัวแทนผู้จัดทำโครงการความสุขของเด็กไทยในวัยเรียน : เด็กประถมศึกษา (6-12 ปี) เปิดเผยผลการวิจัยที่ได้ศึกษาข้อมูลจากนักเรียน ป.1-6 ทั้งในโรงเรียนรัฐและเอกชน จำนวน 3,282 คน ทั่วประเทศว่า เด็กประถมมีความสุขระดับปานกลาง และ 4 ปัจจัยที่ทำให้เด็กมีความสุขที่เพิ่มขึ้น คือ ครอบคัว โรงเรียน โภชนาการ และการเล่น

แต่ประเด็นที่น่าสนใจ คือเด็กส่วนใหญ่ไม่มีเวลาว่างเป็นของตนเอง เพราะต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งของโรงเรียน และเรียนพิเศษ

"กิจวัตรประจำวันของเด็กส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง มีเวลารับประทานอาหารกลางวันไม่ถึง 15 นาที เพราะมีกิจกรรมอื่นของโรงเรียนมาเบียดบังเวลา สำหรับการเล่นของเด็กพบว่า ร้อยละ 98.05 ระบุว่า ได้เล่นในแต่ละวัน แต่เป็นการเล่นกับอุปกรณ์เทคโนโลยีหรือโทรศัพท์มือถือ พูดคุย ไม่ใช่การเล่นแบบการเคลื่อนไหวร่างกาย บางส่วนระบุด้วยว่า ชอบและมีความสุขที่ได้เล่นกับพี่น้องตนเอง เพื่อน ตามลำดับ และมีความสุขที่ครูเข้ามาพูดคุยด้วยความเข้าใจ ส่วนการเรียนพิเศษของเด็กนั้นพบว่า เด็กประถมร้อยละ 60 เรียนพิเศษหรือติวเข้มเพื่อการสอบเข้าและสอบโอเน็ต ซึ่งสอดคล้องกับข้อค้นพบว่า เด็กป. 1 มีความสุข มากกว่า เด็ก ป.6 เพราะป.6 ต้องสอบโอเน็ตและสอบเรียนต่อ ม. 1" ผศ.ยศวีร์ เผย

 งานวิจัยยืนยันว่า เด็กที่อยู่กับพ่อแม่ มีความสุขมากกว่าเด็กที่อยู่กับบุคคลอื่นหรือพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว และเด็กมีความสุขที่ได้มอบหมายให้ทำงานบ้าน โดยพบว่า ร้อยละ 80 มีส่วนช่วยงานบ้าน เด็กรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญต่อครอบครัว ซึ่งต่างจากความรู้สึกของผู้ใหญ่ที่มองว่าเด็กปัจจุบันไม่ค่อยช่วยงานบ้าน

ด้าน รศ.ดร.วีระ ปาติยเสวี ตัวแทนผู้จัดทำโครงการการศึกษาการเล่นเกมของเด็กไทย กล่าวว่า นักเรียนที่มาจากโครงสร้างครอบครัวแบบแหว่งกลางจะมีเวลาเล่นเกมสูงกว่านักเรียนที่มาจากโครงสร้างครอบครัวลักษณะอื่น และเพื่อนในห้องหรือพี่น้องที่บ้านเล่นเกมมีผลทำให้เด็กโดนชักจูงให้เล่นเกมได้ง่าย สำหรับการใช้เงินจ่ายไปกับเกมนั้น เด็กจะเติมเงินเพื่อซื้อของภายในเกมหรือเติมเงินอินเตอร์เน็ตตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหมื่นบ้าน ดังนั้น ข้อเสนอแนะอยากให้โรงเรียนมีการดูแลในเรื่องการใช้มือถือที่โรงเรียน ขณะที่ภาครัฐต้องร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดทำเอกสารให้คำแนะนำผู้ปกครอง การคัดกรองโฆษณาบนอินเตอร์เน็ต  จำกัดอายุการเติมเงิน ที่สำคัญผู้ปกครองต้องส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับเกม และประเมินการเล่นเกมของบุตรหลาน

 

กวดวิชา เพราะสอบหนัก แต่การศึกษาในระบบไม่ตอบโจทย์

ดร.ณัฏฐ์ ภูริพัฒน์สิริ นักวิชาการอิสระ กล่าวถึงผลวิจัยเรื่อง การกวดวิชาในบริบทของระบบการศึกษาไทย ศตวรรษที่ 21 ตอนหนึ่งว่า ผลการศึกษาพบว่า ปัจจุบันการกวดวิชามีความจำเป็นต่อเด็กที่ต้องการพัฒนาความสามารถทางวิชาการในทุกระดับการศึกษา ทั้งพบว่ามีสถาบันกวดวิชาจำนวนมากที่ ไม่ได้จดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ด้านปริมาณพบว่า เด็ก ป. 6 ร้อยละ 67.02 เด็ก ม. 4 ร้อยละ 52.70 มีการกวดวิชานอกเวลาเรียนปกติ และนักเรียนที่กวดวิชามีความสามารถด้านคิดวิเคราะห์ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้กวดวิชา และพบด้วยว่า ครูในโรงเรียนร้อยละ 35 มีรายได้อื่นนอกจากอาชีพครู โดยร้อยละ 52.05 ของครูที่มีรายได้อื่นมาจากการสอนพิเศษของโรงเรียน และร้อยละ 15.38 ของครูที่มีรายได้อื่นมาจากการเป็นติวเตอร์

สำหรับปัจจัยที่ส่งเสริมให้มีการกวดวิชานั้น ดร.ณัฏฐ์ กล่าวว่า พบว่า ผู้ปกครองมีความคาดหวังในบุตรหลานให้มีความสามารถในการแข่งขันกับคนอื่น ขณะที่ครูก็สอนไม่สอดคล้องกับหลักสูตร หรือมีภาระงานอื่นนอกเหนือจากการสอน  และพบว่า การวัดประะเมินผลนักเรียนไม่สอดคล้องกับการเรียนการสอนจริงในห้องเรียน รวมทั้งการสอบที่มีมากเกินไป เช่น ข้อสอบโอเน็ต แก็ต แพ็ต วิชาสามัญ 9 วิชา ทำให้เด็กต้องกวดวิชาเพิ่ม รวมทั้งการออกข้อสอบที่ยากและลึกเกินกว่าหลักสูตร  ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการ จึงควรคืนครูให้กับนักเรียน และควรลดการจัดสอบต่างๆ ที่ซ้ำซ้อนดังกล่าว ให้เหลือเพียงข้อสอบที่เป็นแบบวัดกลางฉบับเดียวที่มีมาตรฐาน

ขณะที่ อัครนัย ขวัญอยู่ นักวิจัยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผย 4 ปัจจัย จากผลศึกษา โครงการพัฒนาความฉลาดรู้ด้านสะเต็มศึกษาของเด็กไทยเพื่อให้ก้าวไกลทันยุค 4.0 ว่า ปัจจัยมีผลต่อการพัฒนาความฉลาดรู้ด้านสะเต็มศึกษา 4 ด้าน คือ 1.ครอบครัว พบว่า ระดับสถานะทางเศรษฐกิจสังคม และระดับการศึกษาของผู้ปกครอง 2.สุขลักษณะของเด็ก พบว่า เด็กที่มีความสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ พฤติกรรมทางด้านอารมณ์ สังคม มีสัมพันธ์ในทิศทางบวกกับทักษะด้านสะเต็มศึกษา 3.ลักษณะของโรงเรียน พบว่า ที่ตั้ง ขนาดโรงเรียน ชั้นเรียนมีผลต่อการเรียนรู้สะเต็มศึกษา และ 4.ครูผู้สอน แสดงความสนใจนักเรียนทุกคนอย่างทั่วถึงและกระตุ้นให้เด็กสามารถเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง การพัฒนาทักษะทางสะเต็มที่ดีกว่า

เปิดโพลเด็กไทย ทุกช่วงวัย อยู่-ดี-มี-สุข หรือยัง?

พบเด็ก NEET ขาดทั้งทักษะ-แรงจูงใจ

เด็กและเยาวชนนั้นถูกมองว่าเป็นวัยที่มีพลังและมักเป็นความหวังให้เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมในอนาคต แต่ปัจจุบันเด็กบางกลุ่มอาจมีพฤติกรรมขาดเป้าหมายและทักษะในชีวิต ซึ่งอาจนิยามเด็กกลุ่มนี้ว่ากลุ่ม NEET

ผศ.ดร.รัตติยา ภูละออ และ ภัทรพิม ทองวั่น ตัวแทนในการนำเสนอรายงานโครงการพัฒนาองค์ความรู้และขับเคลื่อนการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการจ้างงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม และเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในกิจกรรมการสะสมทุนมนุษย์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพเยาวชนให้เข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างเหมาะสม กล่าวว่าการศึกษาเยาวชนในช่วงอายุระหว่าง 15-24 ปี ในปี 2562 ที่ไม่ได้อยู่ในการจ้างงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม มีระดับการพัฒนาทักษะชีวิตต่ำกว่าเยาวชนอื่น ๆ ในทุกด้าน รวมถึงมีมุมมองและแนวคิดในการทำงานแตกต่างกันออกไป ซึ่งมีผลมาจากครอบครัว สภาพแวดล้อมในครอบครัว ประสบการณ์ตรงที่บุคคลได้มีปฏิสัมพันธ์แบบเผชิญหน้า ณ ปัจจุบันกับเพื่อน และสมาชิกในครอบครัว  ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการของบุคคล โดยเฉพาะในการพัฒนาทักษะชีวิต 

โดยเยาวชนช่วงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ4 คือกลุ่มมีความเสี่ยงในการเปลี่ยนพฤติกรรมสู่ NEET สูง ดังนั้นการป้องกันจะต้องมีกระบวนการสร้างแรงจูงใจในการเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยต้องสร้างเป้าหมายในชีวิตและแนวทางการเข้าสู่เป้าหมายที่เหมาะสม  สร้างความเข้าใจกับครอบครัว และสร้างโอกาสในการเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครัวเรือน  เน้นกิจกรรมทางสังคมและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวในชุมชน พัฒนาระบบที่ขยายโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต และพัฒนาโมเดลการช่วยเหลือในระดับพื้นที่โดยใช้ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ รวมถึงต้องเน้นกิจกรรมเพื่อให้เกิดการสร้างแรงจูงใจที่ดี เพื่อส่งเสริมแนวทางการใช้ชีวิตและเข้าสู่ตลาดงานอย่างเหมาะสม

 

จากผลวิจัยสู่แนวปฏิบัติ

ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. กล่าวว่า สสส.ได้สนับสนุนให้มีการจัดทำโครงการดังกล่าว เพื่อเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ที่เด็กต้องเผชิญรวมถึงปัจจัยที่เป็นอุปสรรค และส่งเสริมต่อการพัฒนาเด็กในทุกช่วงวัย รวมถึงผลการรายงานจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุน ส่งเสริมพัฒนาทุกมิติในทุกช่วงวัยเด็กเยาวชนไทยให้เป็นคนเก่ง คนดี และมีทักษะศตวรรษที่ 21 จริงหรือไม่อย่างไร

จากการรายงาน พบว่างบประมาณในการสนับสนุนพัฒนาเด็กปฐมวัยของไทยยังน้อยเกินไป ความสุขเด็กไทยในวัยเรียนเหลือน้อย วัยรุ่นมีปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น ล้วนเป็นผลมาจากการสะสมความเครียดตั้งแต่เด็ก จากโครงสร้างครอบครัวที่มีความพร้อมแตกต่างกัน ความเหลื่อมล้ำคุณภาพของสถานศึกษา การแข่งขันในระบบการศึกษา เด็กแถวหลังที่ถูกละเลยจนเกิดเป็นกลุ่มที่อยู่เฉย ๆ ไม่เรียน ไม่ทำงาน ปรากฏการณ์นี้ล้วนพบทั้งจากเด็กครอบครัวฐานะดีและครอบครัวที่ยากไร้

"ขณะนี้ สสส.ได้นำผลงานวิจัยที่ 7 โครงการย่อย มาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดแผนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กในแต่ละช่วงวัย เพื่อที่จะพัฒนาเด็กให้มีคุณลักษณะที่พร้อมใน 10-20 ปีข้างหน้า อีกทั้งจะทำการเผยแพร่ผลรายงาน ข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่มีความชัดเจนทั้งในเชิงนโยบายสำหรับภาครัฐและภาคเอกชน จะนำเสนอไปยังคณะกรรมการนโยบายในส่วนของภาครัฐ และทำความเข้าใจกับภาคเอกชน สถานประกอบการต่าง ๆ เข้ามาร่วมสนับสนุนในข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่สามารถทำได้ เช่น ขยายวันลาคลอด และจ่ายเงินเดือนให้แก่แม่ในตลอดช่วงที่ลาคลอด หรือ ภาครัฐต้องลงทุนแก่เด็กปฐมวัยมากขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ครอบครัว อันนำไปสู่การพัฒนาเด็กที่ดี และจะนำไปสู่การพัฒนาสนับสนุนทรัพยากรบุคคล เด็กจะเติบโตกลายเป็นกำลังที่สำคัญของประเทศที่มีคุณภาพ" ณัฐยา กล่าว