ก้าวที่ท้าทายประเทศไทย สู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีศูนย์ข้อมูลเป็นศูนย์กลางเป็นกลไกหลักที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI
KEY
POINTS
- การตั้งเป้าหมายที่จะเป็น “ศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน” เป็นก้าวที่แสนท้าทายสำหรับประเทศไทย
- การเติบโตของศูนย์ข้อมูลและข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ช่วยเพิ่มแต้มต่อ
- ความท้าทายสำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายเดิมที่ไม่เพียงพอ ทั้งจำนวนสายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศ และสถาปัตยกรรมที่ไม่สามารถรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูลมหาศาลในอนาคตได้
- แม้จะมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ดี แต่ประสิทธิภาพด้านความหน่วงของเครือข่ายยังไม่ถูกใช้เต็มศักยภาพ
- มีความเสี่ยงด้านความเสถียรจากโครงสร้างที่อาจเกิดการขัดข้องจากจุดล้มเหลวเพียงจุดเดียว
ท่ามกลางคลื่น AI ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ประเทศไทยเองก็กำลังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ในฐานะ “ศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน”
หัวเว่ย วิเคราะห์ว่า รัฐบาลไทยกำลังเดินหน้าผลักดันนโยบาย “Thailand 4.0” อย่างต่อเนื่อง โดยวางเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ ขณะเดียวกันมีการเติบโตของ AI และศูนย์ข้อมูลที่กำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลากหลายมิติ
รูปแบบการรับส่งข้อมูลเปลี่ยนไป : เมื่อศูนย์ข้อมูลเพิ่มจำนวนขึ้นในกรุงเทพฯ ชลบุรี และพื้นที่อื่น ๆ ประเทศไทยก็จะเปลี่ยนบทบาทจากเดิมที่เป็น “จุดผ่านข้อมูล” ไปสู่การเป็น “ศูนย์รวมข้อมูล” ระดับภูมิภาค การรับส่งข้อมูลดิจิทัลในแนวตะวันออก–ตะวันตกเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยกลุ่มศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยเริ่มรองรับความต้องการด้านการประมวลผลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในวงกว้างมากขึ้น
เส้นทางข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น : เส้นทางข้อมูลที่เคยต้องพึ่งพาเคเบิลใต้น้ำผ่านฮ่องกงและสิงคโปร์ กำลังทยอยเปลี่ยนมาใช้โครงข่ายดิจิทัลบนภาคพื้นดินที่เชื่อมต่อจีน ลาว และไทย เส้นทางนี้ช่วยลดความหน่วงในการส่งข้อมูลจากภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความคาดหวังทางธุรกิจที่สูงขึ้น : ความต้องการของตลาดกำลังเปลี่ยนจาก “แบนด์วิดท์ที่เพียงพอ” ไปเป็น “ประสบการณ์คุณภาพสูง” ประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่า “จุดกลมกล่อมด้านความหน่วง” สำหรับตลาดสำคัญในเอเชียแปซิฟิก
โดยมีค่าความหน่วงในการเชื่อมต่อไปยังสิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซียอยู่ในช่วงที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวต่อความหน่วงของข้อมูล เช่น รถยนต์ไร้คนขับ การแพทย์ทางไกล และฟินเทค
3 ความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม
ปริมาณการรับส่งข้อมูลมหาศาลที่ส่งผลกระทบต่อเครือข่ายเดิม : เมื่อเทียบกับศูนย์กลางที่พัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์ ประเทศไทยยังมีสายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศไม่เพียงพอ ส่งผลให้ข้อมูลข้ามพรมแดนจำนวนมากยังต้องอ้อมผ่านเส้นทางอื่น
ขณะเดียวกัน การลงทุนในศูนย์ข้อมูลยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณการรับส่งข้อมูลเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย จากการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าภายในปี 2572 ศักยภาพของศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยอาจสูงถึง 2,000 เมกะวัตต์ โดยมีปริมาณการรับส่งข้อมูลข้ามภูมิภาคพุ่งสูงถึง 630 เทราบิตต่อวินาที ซึ่งสถาปัตยกรรมโครงข่ายในปัจจุบันไม่สามารถรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูลขนาดนี้ได้อีกต่อไป
ข้อได้เปรียบด้านความหน่วงที่ยังไม่ถูกใช้เต็มที่ : แม้ประเทศไทยแม้จะมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ แต่ประสิทธิภาพด้านความหน่วงของเครือข่ายยังไปไม่ถึงขีดศักยภาพสูงสุด เส้นทางเชื่อมต่อไปยังตลาดสำคัญ เช่น จีน ยังคงต้องพึ่งพาการส่งผ่านของผู้ให้บริการรายที่สาม
นอกจากนี้ การจัดสรรเครือข่ายแบบดั้งเดิมยังขาดความสามารถในการเลือกเส้นทางอย่างชาญฉลาด ทำให้ยากที่จะรับประกันความแน่นอนให้กับบริการที่อ่อนไหวต่อความหน่วง เช่น ธุรกรรมทางการเงิน หรือการโต้ตอบกับ AI แบบเรียลไทม์
ความเสี่ยงด้านความเสถียรของเครือข่าย : ความเสถียรของเครือข่ายในประเทศไทยยังเผชิญกับข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ซึ่งจุดล้มเหลวเพียงจุดเดียวก็เคยก่อให้เกิดการขัดขัดข้องต่อบริการที่สำคัญยาวนานหลายชั่วโมงมาแล้ว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าองค์กรโดยตรง
ปูทางสู่เครือข่ายยุคใหม่
เพื่อก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ ประเทศไทยสามารถยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งสร้างเครือข่ายยุคใหม่ที่พร้อมรองรับ AI ดังนี้
สร้างการเชื่อมต่อ "สายเคเบิลใต้น้ำ-ภาคพื้นดิน" แบบแบนด์วิดท์สูงพิเศษ : การนำเข้าและวางสายเคเบิลใต้น้ำใหม่ ๆ อย่างแข็งขันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศไทยในการเชื่อมต่อกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลกได้อย่างมาก พร้อมกันนี้ การเร่งสร้างและขยายเส้นทางสายเคเบิลภาคพื้นดินที่สำคัญ เช่น เส้นทาง จีน-ลาว-ไทย และ ไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ จะเปลี่ยนความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยให้กลายเป็นความได้เปรียบด้านการเชื่อมต่อที่จับต้องได้จริง
ปรับเส้นทางเครือข่ายเพื่อสร้างศูนย์กลางความหน่วงต่ำระดับภูมิภาค : การเสริมความแข็งแกร่งให้เส้นทางสายเคเบิลภาคพื้นดิน คุนหมิง-ลาว-ไทย จะช่วยลดความหน่วงในการส่งข้อมูลระหว่างจีนและไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอบรับความต้องการใช้งานแบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ การนำเครือข่ายอัตโนมัติมาใช้งาน จะทำให้สามารถเลือกเส้นทางที่เหมาะสมและสั้นที่สุดได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากการให้บริการแบบ “ดีที่สุดเท่าที่ทำได้” ไปสู่ “ความหน่วงต่ำที่กำหนดได้อย่างแน่นอน”
ออกแบบโครงสร้างที่มีความยืดหยุ่นสูงแบบ "ไม่สะดุด" : การปรับใช้เครือข่ายศูนย์ข้อมูลแบบ active-active ที่มีความสามารถในการสลับเส้นทางในระดับมิลลิวินาที จะช่วยรับประกันความต่อเนื่องของบริการที่สำคัญ
ขณะเดียวกัน การนำระบบปฏิบัติการและบำรุงรักษาอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้ จะช่วยลดระยะเวลาในการตรวจจับและวิเคราะห์ปัญหา จากเดิมที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที
การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมเอไอและศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยกำลังผลักดันความต้องการทางธุรกิจในระดับภูมิภาคและข้ามพรมแดนให้ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด
ท่ามกลางกระแสนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีศูนย์ข้อมูลเป็นศูนย์กลางจึงถือเป็นกลไกหลักที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ซึ่งช่วยผลักดันประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางเอไอแห่งใหม่ของภูมิภาคอาเซียนตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้
ต้องฝังใน ‘ดีเอ็นเอ’ องค์กร
สำหรับการปรับตัวในยุคของ AI ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดมุมมองว่า หัวเว่ยเชื่อว่านวัตกรรมที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่คือการฝังแนวคิดแห่งการเปลี่ยนแปลงไว้ในดีเอ็นเอขององค์กร
อีกทางหนึ่งความท้าทายระดับโลกด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและความยั่งยืนต้องได้รับการแก้ไขควบคู่กัน เพราะทั้งสองแนวโน้มนี้กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของหลายอุตสาหกรรม
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ องค์กรต้องมีการพลิกโฉมตนเองอย่างต่อเนื่องพร้อมสร้างนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน
ถ้าเราหยุดสร้างนวัตกรรม เราจะตกเป็นเหยื่อของความสำเร็จของตัวเอง สิ่งที่เราสร้างในห้องแล็บวันนี้ อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในอีกหกเดือนข้างหน้า เราจึงต้องมองหาช่องโหว่ จุดอ่อน ทั้งในกระบวนการ เทคโนโลยี และห่วงโซ่คุณค่าของเราอยู่เสมอ
สำหรับหัวเว่ย พันธกิจหลักคือ การใช้เทคโนโลยีไอซีที และพลังงาน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย พร้อมสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่สังคม ธุรกิจ และสิ่งแวดล้อม







