ผสานรากผสานเรา

ผสานรากผสานเรา

ผสาน "รากฝอย" และ “รากแก้ว" แห่งศิลปวัฒนธรรม นำสู่ความยั่งยืน

“การที่เราได้ศึกษารากแท้จริงของวัฒนธรรมแต่ละที่ทำให้เกิดความเข้าใจถึงที่มา และเกิดความรู้สึกรักหวงแหน อยากพัฒนารักษาสิ่งที่มีให้คงอยู่”

ประกายมาศ แสงลี  วิทยาลัยนาฏศิลป์นครราชสีมา

 

หน้าที่ของคนนาฏศิลป์ คือการถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้อย่างไรให้คนเข้าใจ ดังนั้นหากเราแสดงอะไรแล้วไม่รู้ไม่เข้าใจถึงราก ก็จะไม่สามารถแสดงออกมาดีได้”

กัญรวี ทรัพย์ทวี สถาบันบัณทิตพัฒนศิลป์

 

 

ภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทยเป็นศิลปะที่มีคุณค่า ซึ่งเกิดจากวิถีชีวิตที่สั่งสมจากองค์ความรู้ในแต่ละท้องถิ่น เปรียบเสมือน “รากแก้ว” ของต้นไม้แห่งวัฒนธรรมไทย แต่ความเปลี่ยนแปลงของสังคมตามกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้ปัจจุบันศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นถูกละเลยคุณค่าและน้อยที่จะมีการถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือน “รากฝอย” ของต้นไม้วัฒนธรรม หากมรดกไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ไม่ได้รับการสืบสานและอนุรักษ์ฟื้นฟู คุณค่าดังกล่าวก็อาจลดน้อยลงจนแทบจะสูญหายไปในที่สุด

 “ผสานรากผสานเรา” จึงเป็นกิจกรรมมุ่งเน้นการเพาะพันธุ์ต้นกล้าทางวัฒนธรรม ของกลุ่มคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือความปรารถนาที่จะสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติและท้องถิ่นให้คงอยู่ยั่งยืน จึงได้พัฒนาและสร้างสรรค์กิจกรรมค่ายวัฒนธรรมเพื่อบ่มเพาะปลูกฝังจิตสำนึกให้แก่เยาวชนจากวิทยาลัยนาฏศิลป์หันมาสืบสานศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น รักษาภูมิปัญญาด้านศิลปะอันเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัว เฉพาะถิ่น เพื่อส่งต่อการพัฒนารากฝอยเป็นรากแก้วที่แข็งแรงในอนาคต ด้วยความเข้าใจ “รากเหง้า” ของเราที่แท้จริง

เพราะ “รากเรา” สำคัญ

ผสานรากผสานเรา เป็นผลผลิตที่ต่อยอดจาก สารคดี “รากเรา” ความยาว 84 นาที เป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายทอด บอกเล่าเรื่องราวของ “ปราชญ์” ด้านวัฒนธรรม ผู้มีความสามารถเอกอุด้านศิลปะการแสดงในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลงานที่เกิดจากการเรียนรู้ สัมผัสด้วยตัวเองของ นิสา คงศรี ผู้จัดการโครงการผสานรากผสานเรา ที่มีโอกาสได้เดินทางทั่วประเทศ เพื่อค้นหา “รากเหง้า” ของความเป็นไทย

ซึ่งภายหลังจากการที่นิสามีโอกาสนำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ไปจัดฉายให้นักเรียนในวิทยาลัยนาฏศิลป์ 13 แห่งทั่วประเทศ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างแรงบันดาลใจและมองเห็นศักยภาพของเยาวชนไทยกลุ่มนี้ ที่แม้เป็นกลุ่มคนเล็กๆ ของสังคม หากแต่บทบาทสำคัญต่อประเทศในฐานะ คนที่ทำหน้าที่อนุรักษ์สืบสานศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าแทนคนไทยกว่า 70 ล้านคน ไม่ให้ถูกกลืนหายไปในกระแสโลก

 “จุดประสงค์ของเราคือ ต้องการให้กำลังใจและบอกกับเด็กกลุ่มนี้ว่า “พวกเขามีคุณค่ามากมายแค่ไหน” นิสาเล่าต่อว่า ปัจจุบันเด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ เมื่อเรียนจบไปจะมีทางเลือกในด้านอาชีพไม่มาก บ้างก็ไปเป็นครู บ้างก็เป็นศิลปินอิสระ และบางคนต้องไปประกอบอาชีพอื่น ไม่ได้ใช้สิ่งที่ร่ำเรียนมาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีนั้นเลย

“เรามองเห็นเด็กกลุ่มนี้เป็นบุคลากรที่มีศักยภาพของประเทศ ด้วยตัวตนของเด็กนาฏศิลป์มีคุณสมบัติพื้นฐานพร้อมทั้งความนอบน้อม รับผิดชอบและมีความตั้งใจ  อีกทั้งมีทักษะทางด้านการแสดงออกและยังมีจิตอาสา ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวสามารถนำไปพัฒนาเป็นผู้นำได้ ซึ่งหากวันนี้ เราผลักดันให้เด็กกลุ่มนี้สามารถเจิดจรัส ปลูกฝังให้เขากระจายอยู่ทั่วแผ่นดินไทย เราเชื่อว่าวันหนึ่งประเทศชาติจะได้ผู้นำเยาวชนทางด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติ”

ภายหลังการฉายภาพยนตร์รากเรา โครงการถูกขยายผลมาสู่การดำเนินกิจกรรมโครงการต่อเนื่องอีกสองโครงการก่อนหน้า ในชื่อ “ไร้รากไร้เรา” และ “มีรากมีเรา” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เยาวชน นักเรียน นักศึกษาลงไปสัมผัสและศึกษารากเหง้าทางวัฒนธรรม เรียนรู้แนวคิดและวิถีชีวิตที่เป็นต้นกำเนิดของวัฒนธรรมจากศิลปินพ่อครูแม่ครูในท้องถิ่น พร้อมถ่ายทำเป็นภาพยนตร์สารคดี 13 เรื่อง เพื่อนำกลับไปฉายเผยแพร่ต่อในวิทยาลัยนาฏศิลป์ทั่วประเทศ ก่อนจะแตกหน่อมาสู่ “ผสานรากผสานเรา” ด้วยเพราะนิสาเชื่อว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน จะต้องเป็นการพัฒนาที่มีความต่อเนื่อง

ในการจัดกิจกรรมครั้งแรก ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช “ผสานรากผสานเรา” กลายเป็นกิจกรรมที่ให้ผลตอบรับเกินคาดในแวดวงนาฏศิลป์ไทย ที่ไม่เพียงหันมาตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้รากเหง้าของท้องถิ่นตนเอง แต่ยังเปลี่ยนแนวคิดของเยาวชนกลุ่มนี้ ที่เดิมมองว่าเป็นสิ่งที่เรียนตามหน้าที่ กลายเป็นความซาบซึ้งในหน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบ

ผสานรากผสานใจ

“ผสานรากผสานเรา” ยังเป็นเสมือนการละลายพฤติกรรมและหลอมรวมใจเป็นหนึ่งเดียว เด็กที่เข้าค่ายเกิดความรักความผูกพันระหว่างกัน และยังสานสัมพันธภาพไปถึงกลุ่มครูอาจารย์ในวิทยาลัยนาฏศิลป์แต่ละแห่ง จนเกิดเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงทางด้านวิชาการและมิตรภาพอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นทำให้กิจกรรมขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็น “ค่ายผสานรากผสานเรา” ครั้งที่สองที่จังหวัดเชียงใหม่ในปีต่อมา ก่อนจะมาจัดอีกครั้งที่สามในปีนี้ ที่จังหวัดนครราชสีมา ร้อยเอ็ด และกาฬสินธุ์

ตลอดเวลา 7 วันในการจัดกิจกรรมแต่ละครั้ง เด็กที่เข้าร่วมกิจกรรมค่ายฯ จะได้รับการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมผ่านการสอนของคณาจารย์ด้านนาฏศิลป์และปราชญ์วัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้นๆ ในการเยือนวิทยาลัยนาฏศิลป์แต่ละแห่ง และขณะเดียวกันพวกเขาจะต้องเป็นผู้ถ่ายทอด “ราก” วัฒนธรรมของท้องถิ่นตนเองผ่านการแสดง เพื่อแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ในท้องถิ่นอื่น

สำหรับค่ายผสานรากผสานเราปีนี้ ยังมีการต่อยอดพัฒนามากขึ้นจากปีที่ผ่านมา เพราะเป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้เยาวชนที่เคยเข้าค่ายในโครงการได้ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” โครงการ ตั้งแต่การทำหน้าที่วางแผนกิจกรรม บริหารจัดการและการเชื่อมโยงเครือข่ายและภาคีต่างๆ โดยมีอาจารย์และผู้ดำเนินโครงการทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษา ซึ่งถือเป็นเวทีที่ส่งเสริมให้พวกเขาได้มีโอกาสพัฒนาตนเองจากการเรียนรู้กระบวนการทำงานจริง

กัญรวี ทรัพย์ทวี นักศึกษานาฏศิลป์ดุริยางค์ ชั้นปีที่ 1 สถาบันบัณทิตพัฒนศิลป์ เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของตัวเองจากเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมค่ายผสานรากผสานเรา และโครงการต้นกล้า มาสู่การเป็นพี่เลี้ยงในค่ายผสานรากผสานเราครั้งที่ 3 นี้ว่า การเข้าร่วมกิจกรรมเป็นการฝึกและพัฒนาตนเองให้เติบโตหลายด้านทั้งแนวคิด ภาวะผู้นำ การอยู่ร่วมกันในสังคม และจิตสำนึกด้านศิลปวัฒนธรรม

“การเข้าค่ายไม่ได้ทำให้เราสนใจแค่วัฒนธรรมของเรา แต่ยังทำให้เรารักเพื่อน และยังรักในศิลปวัฒนธรรมของเพื่อนเราด้วย ประสบการณ์จากการทำค่ายครั้งนี้ ทำให้หนูรู้ว่า ที่นี่ไม่ได้มีแค่ผู้นำ แต่มีผู้ตามที่ดีด้วย  การมาค่ายนี้เหมือนมาโรงเรียน แต่เป็นโรงเรียนที่เราผูกพันมาก เรามีหัวใจเหมือนกัน เรามีเป้าหมายเหมือนกัน เรารู้ว่าเราใช้ชีวิตที่จะทำอะไรเหมือนกัน ทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกันเราได้ แลกเปลี่ยนกัน ไม่ใช่แค่ความรู้ศิลปวัฒนธรรม แต่เป็นความรู้สึก ความใส่ใจ”

ประกายมาศ แสงลี คณะศิลปศึกษา วิทยาลัยนาฏศิลป์นครราชสีมา ให้เหตุผลในการเข้าร่วมโครงการผสานรากว่า มองว่าค่ายนี้ไม่ใช่ค่ายกิจกรรมที่ให้แค่ความสนุกสนาน แต่ยังปลูกฝังแนวคิดให้รักสิ่งที่เราทำมากขึ้น โดยหลังจากผ่านโครงการประกายมาศยังกลับไปตั้งชมรมเพลงโคราชในวิทยาลัยและมีเป้าหมายอยากจะทำค่ายวัฒนธรรมด้วยตัวเองในอนาคต โดยใช้ประสบการณ์ที่ได้รับจากการเข้าค่ายผสานรากผสานเรา

“โครงการทำให้หนูได้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากคนรอบตัว รุ่นพี่สองคนที่เข้าร่วมโครงการนี้ พี่มั่นแต่ก่อนเป็นคนเฮฮาสนุกสนานไปวันๆ พอมาเข้าค่ายนี้ พี่มั่นกลายเป็นผู้นำกิจกรรมแลเป็นคนชวนหนูทำค่าย เขายังเป็นนักพูดจูงใจให้เพื่อนๆ มาร่วมกิจกรรมกับเรา ส่วนพี่ม้อดซึ่งเขาชอบถ่ายรูป หนูเลยชวนเขามาเข้าค่าย ทุกวันนี้พี่ม้อดจึงได้พัฒนานำภาพถ่ายฝีมือตัวเองมีเป็นเครื่องมือในการบอกเล่าประสบการณ์ในค่ายในเฟสบุคในยูทูปเพื่อช่วยเผยแพร่”

ขณะที่ ไพเราะ แสงเปล่ง อาจารย์ประจำ วิทยาลัยนาฏศิลป์ลพบุรี ให้ความเห็นในมุมมองอาจารย์ว่า โครงการนี้ให้ประโยชน์กับเด็กมาก เพราะเป็นโอกาสที่ได้เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมจากหลากหลายท้องถิ่นที่เขาเองไม่มีโอกาสได้เห็นมาก่อน นอกจากนี้โครงการยังปลูกจิตสำนึกความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นตัวเองให้กับคนรุ่นใหม่

“การลงลึกถึงราก ทำให้เรารู้ว่าคุณค่าของวัฒนธรรมอยู่ตรงไหน ไม่ใช่แค่ความสวยงามกับท่ารำ แต่ต้องสามารถสื่อถึงจิตวิญญาณของสิ่งที่ทำ ชุมชนหรือท้องถิ่นที่มีความภูมิใจ ก็จะสามารถรักษาเอกลักษณ์ตัวเองไว้ได้ ซึ่งเราในฐานะเป็นผู้อนุรักษ์ ควรจะอนุรักษ์อย่างไรให้ข้อมูลอย่างถูกต้อง เราต้องพยายามรักษาสิ่งที่ดีของท้องถิ่นไว้ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน“ ไพเราะกล่าวทิ้งท้าย