Hygiene Street Food สร้างโอกาส: TIJ ร่วมผลักดัน “คืนคนดีสู่สังคม”

Hygiene Street Food สร้างโอกาส: TIJ ร่วมผลักดัน “คืนคนดีสู่สังคม”

“หนูโดนจับข้อหาลักทรัพย์ ทั้งหนูกับแฟนติดคุกคนละ 8 เดือน ถึงจะไม่นานมาก แต่พอถูกตีตราว่าเคยติดคุก โอกาสต่างๆ ในการทำงานก็ไม่มีให้เราอีกต่อไป”

เป็นคำบอกเล่าจากชีวิตจริงของ “จอย” หญิงสาววัย 30 ปี ที่สะท้อนภาพของสังคมว่าการเป็น “คนคุก” ได้ตัดโอกาสการดำเนินชีวิตไปเกือบทั้งหมด แม้เธอจะไม่ได้กระทำผิดจากกมลสันดาน แต่เป็นเพราะถูกบีบคั้นจากปัญหาเศรษฐกิจก็ตาม

“ตอนนั้นหนูกับแฟนไปเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สวนผึ้ง (จ.ราชบุรี) พอเปิดมาได้ 3 เดือน ปรากฏว่าเริ่มขายไม่ได้ ค่าเช่าที่ก็แพง เงินก็ขาดมือ แต่มีเรื่องต้องใช้เงินเร่งด่วน จึงนำแอร์ตัวหนึ่งไปจำนำกับญาติได้เงินมา 10,000 บาท พอผ่านไปสัปดาห์หนึ่ง มีลูกค้าต้องการแอร์ตัวนี้ ซึ่งมีอยู่ตัวเดียว หนูกับแฟนก็เลยไปขอคืนจากญาติ แต่ญาติบอกว่าเขาเอาไปติดที่บ้านภรรยาแล้ว เมื่อเราไม่มีของมาคืน ทางบริษัทแม่จึงแจ้งความจับในข้อหาลักทรัพย์”

วันนี้ “จอย” กับแฟนพ้นโทษออกมาแล้ว และได้พยายามหางานทำ แต่เมื่อสมัครงานไปตามที่ต่างๆ กลับไม่มีบริษัทห้างร้านใดเรียกตัวไปทำงานเลยแม้แต่แห่งเดียว ทำให้เธอกับแฟนเดือดร้อน ไม่มีรายได้ส่งเสียลูก 2 คนในวัยเรียน

เรื่องราวชีวิตของ “จอย” เป็นดั่งกระจกสะท้อนปัญหาหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมปลายน้ำ ก็คือ การส่งคืน “ผู้พ้นโทษ” ให้กลับสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ เพราะเมื่อผู้พ้นโทษออกมาแล้ว ไม่มีงานทำ ไม่มีความมั่นคงในชีวิตมากพอ ย่อมมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การ “กระทำผิดซ้ำ”

และนี่เองเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ตัวเลขการกระทำผิดซ้ำของผู้ที่พ้นโทษไปแล้วจากระบบราชทัณฑ์ไทยบางช่วงเวลาสูงถึงเกือบ 1 ใน 4 หรือ ร้อยละ 23 เลยทีเดียว หนำซ้ำการกระทำผิดซ้ำก็ไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว แต่มีทั้งซ้ำ 2 ซ้ำ 3 หรือ ซ้ำ 4

จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ (Thailand Institute of Justice) จับมือกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. กรมราชทัณฑ์ และโครงการกำลังใจ ในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา จัดทำโครงการ Street Food สร้างโอกาส” ให้กับผู้ต้องขังที่พ้นโทษออกมาแล้ว และกำลังจะพ้นโทษภายใน 3 เดือน ได้ฝึกฝนการทำอาหาร Street Food โดยมีนักวิชาการด้านโภชนาการมาสอนการทำอาหารให้อร่อยและถูกสุขอนามัย พร้อมสนับสนุน “รถเข็น Hygiene แบบพิเศษ” ที่ออกแบบโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ให้เป็นทุนตั้งต้น ในการออกไปประกอบอาชีพอีกด้วย

และ “จอย” ก็เป็นหนึ่งใน “ผู้พ้นโทษ” จากเรือนจำกลางราชบุรี ที่สมัครและได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ “Street Food สร้างโอกาส”

Hygiene Street Food สร้างโอกาส: TIJ ร่วมผลักดัน “คืนคนดีสู่สังคม”

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการ TIJ และ นายก สจล. กล่าวว่า โครงการนี้เริ่มต้นจากการที่ สจล. จัดทำโครงการ Street Food Academy เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกงานและขาดรายได้จากวิกฤตโควิด-19 และได้ริเริ่มออกแบบรถเข็นที่ถูกสุขอนามัยเพื่อยกมาตรฐาน Street Food ของไทยให้มีภาพลักษณ์ที่ดีในยุคโควิด ทำให้ทาง TIJ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวกับการสร้างโอกาสให้ผู้ต้องขังในเรือนจำและผู้พ้นโทษได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีพอ จะได้ไม่ต้องกระทำผิดซ้ำอีก เล็งเห็นว่าโครงการของ สจล. เป็นรูปแบบหนึ่งที่จะนำมาใช้สร้างอาชีพที่ดีให้กับผู้พ้นโทษได้ และเป็นการประชาสัมพันธ์ Hygiene Street Food ด้วย จึงประสานกับทาง สจล. กรมราชทัณฑ์ และโครงการกำลังใจฯ ให้มาร่วมกันสร้างโครงการนี้ขึ้น

“ทีมงานของ สจล. และ TIJ ได้ร่วมกันลงพื้นที่เรือนจำกลางราชบุรี และ เรือนจำกลางนครปฐม เพื่อบอกกล่าว ผู้พ้นโทษและผู้ต้องขังที่ใกล้จะพ้นโทษเข้าร่วมโครงการ และจัดอบรมเกี่ยวกับอาหารปลอดภัย จากนั้นก็สำรวจความต้องการของผู้ต้องขัง ก่อนจะนำข้อมูลมาร่วมมือกับวิศวกร สจล. ออกแบบรถเข็นนวัตกรรม หรือ รถเข็น Hygiene เพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพและความสะอาดปลอดภัยของอาหารสตรีทฟู้ด รวมทั้งให้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เพื่อสร้างทางเลือกและโอกาสในการประกอบอาชีพใหม่ ภายใต้การรับรองว่าได้ผ่าน
การอบรมมาเป็นอย่างดีแล้ว”

Hygiene Street Food สร้างโอกาส: TIJ ร่วมผลักดัน “คืนคนดีสู่สังคม”

ผู้อำนวยการ TIJ บอกด้วยว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี และสอดคล้องกับแนวทางของ “กำลังใจโมเดล” ที่มีต้นแบบมาจากโครงการ “กำลังใจ” ในพระดำริของพระองค์ภา ที่เน้นพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน จึงเตรียมผลักดันให้เป็นโครงการต้นแบบของสหประชาชาติต่อไป ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ Street Food ของไทยว่าสะอาดปลอดภัยในสายตาขาวโลกด้วย

“ผมคิดว่าโครงการลักษณะนี้เป็นต้นแบบของความร่วมมือร่วมใจของหลายๆ ฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้โอกาสผู้ต้องขังตามแนวทาง “กำลังใจโมเดล” จึงควรผลักดันไปสู่เวทีนานาชาติ และหวังว่าโครงการแบบนี้นอกจากจะช่วยลดผลกระทบที่มีต่อผู้พ้นโทษในการหางานและริเริ่มอาชีพของตนเองในช่วงวิกฤตแล้ว ยังจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ Street Food ของไทย เพื่อเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยวเมื่อสถานการณ์โควิดดีขึ้นอีกด้วย” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ ระบุ

แน่นอนว่าการมีประวัติอาชญากรรมทำให้เกิดข้อจำกัดในการสมัครงานและหางานทำ ทั้งราชการและภาคเอกชน ฉะนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือ การเป็นเจ้าของธุรกิจเล็ก ๆ ใช้ต้นทุนไม่มาก อย่างร้านขายอาหารริมทางแต่ความสำเร็จบนเส้นทางสายนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพและนวัตกรรมด้วย

ผศ.ดร.นภัสรพี เหลืองสกุล ผู้อำนวยการศูนย์เมืองนวัตกรรมอาหาร สจล. บอกว่า “เรื่องความปลอดภัยของอาหาร เราตามไปถึงบ้าน เพราะการก่อให้เกิดความสกปรก แต่ละบ้านไม่เหมือนกัน เราจะไปชี้ให้เห็นว่าสิ่งไหนจะทำให้อาหารไม่สะอาด ก็ต้องปรับแก้ตรงจุดนั้น เราต้องทำแบบนี้ ไม่อย่างนั้นการยกระดับร้านอาหาร Street Food
ก็ไม่เกิดและที่สำคัญเวลาเขาขายจริง เราต้องไม่ทิ้งเขา”

ปัจจัยสำคัญที่จะยกระดับ Street Food ให้สะอาด ปลอดภัย คือ รถเข็นขายของแบบ Hygiene ซึ่งใช้อุปกรณ์ไฮเทคประกอบในรถเข็นช่วยให้วัตถุดิบสะอาด มีระบบควบคุมการปรุงอาหาร และกรองน้ำเสียให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สำหรับ “จอย” หนึ่งในผู้พ้นโทษที่เข้าร่วมโครงการ เผยว่า เธอวางแผนจะนำรถเข็น Hygiene ไปเปิดร้านที่ตลาดนัดแถวบ้าน เธอบอกว่าโครงการนี้ทำให้เธอมีความหวังมากขึ้นที่จะมีอาชีพไปดูแลครอบครัว จะได้ไม่ต้องหวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ แล้วเข้าสู่วงจรการใช้ชีวิตในเรือนจำเหมือนที่เคยเป็นมา...

ภาคเอกชนที่สนใจสนับสนุนโครงการนี้สามารถติดต่อได้ที่สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย