จาก “กองทุนสวัสดิการชุมชน” สู่ธุรกิจเพื่อสังคม และต้นแบบการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

จาก “กองทุนสวัสดิการชุมชน” สู่ธุรกิจเพื่อสังคม และต้นแบบการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

 

ด้วยความมุ่งหวังที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตให้คนในสังคมเข้าถึงปัจจัยพื้นฐาน หรือได้รับสวัสดิการที่ทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้ที่เพียงพอ เกิดความมั่นคง และยั่งยืน ทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน และประเทศ จึงเป็นที่มาของการจัดงานมอบรางวัล “ธรรมาภิบาลดีเด่น แห่งปี 2561” ปีที่ 3 โดยสถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เครือข่ายสวัสดิการชุมชนระดับชาติ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะอนุกรรมการส่งเสริมองค์กรสวัสดิการชุมชน ในคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) มูลนิธิมั่นพัฒนา และวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ภายใต้แนวคิด “คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน”ของ ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ณ อาคารศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ​


สวัสดิการชุมชนสู่ธุรกิจเพื่อสังคม พัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน


กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลท่างาม เป็น 1 ใน 8 กองทุนสวัสดิการชุมชนดีเด่นที่ได้รับรางวัล “ด้านการพัฒนาการประกอบอาชีพ พัฒนาระบบเศรษฐกิจชุมชน และการแก้ปัญหาหนี้สิน” ซึ่งมีการบริหารจัดการสวัสดิการชุมชนที่มากกว่าสวัสดิการพื้นฐาน เน้นการต่อยอด และลงทุนเพิ่มรายได้ทรัพยากรที่อยู่ในชุมชน จนเกิดเป็นแนวคิดของการทำ “ธุรกิจเพื่อสังคม” ที่ไม่ได้มองแค่ผลกำไรเป็นตัวตั้ง แต่มองผลประโยชน์ส่วนรวมของชุมชนเป็นสำคัญ


นายชินวุฒิ อาศน์วิเชียร เลขานุการกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลท่างาม อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี กล่าวว่า เดิมทีประชากรในตำบลท่างามประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้น้อยเนื่องจากการขายพืชผลทางการเกษตรได้ราคาต่ำกว่าราคาท้องตลาด ประกอบกับมีต้นทุนการผลิตที่สูง ส่งผลให้เกษตรกรขาดทุนและมีหนี้สินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นปัญหาที่พบในชุมชนจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการขาดแคลนรายได้ ความไม่มั่นคงทางอาชีพ ต้นทุนการผลิต และปัญหาหนี้สินครัวเรือน โดยในช่วงแรกของการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลท่างาม เมื่อปี พ.ศ. 2551 รูปแบบการจัดสวัสดิการยังเป็นสวัสดิการพื้นฐานตั้งแต่การเกิดจนตายให้แก่สมาชิก แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้กองทุนฯ หันมาจัดรูปแบบสวัสดิการเพื่อเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิต ที่ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการมุ่งเน้นช่วยเหลือด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ดียิ่งขึ้น เช่น การช่วยเหลือน้ำดื่มกรณีเกิดภัยพิบัติ การช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม การให้ทุนการศึกษา ฯลฯ มาจากเหตุการณ์อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศ ในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งพื้นที่ตำบลท่างามได้รับผลกระทบที่นำมาซึ่งความสูญเสีย และสร้างความเสียหายให้กับประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก


กลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนกองทุนฯ คือการดำเนินงานที่ยึดหลัก “ประชาชนเป็นผู้บริหาร ท้องถิ่นเป็นผู้ปฏิบัติ” โดยเชื่อมโยงแต่ละภาคส่วน อาทิ ภาคประชาชน ท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย ในพื้นที่ตำบลท่างามให้เข้ามามีบทบาทและเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการกองทุนฯ ภายใต้แนวคิด “พลิกวิกฤต ให้เป็นทุน” ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรม ต่อยอดระบบกองทุนสวัสดิการเดิมให้เป็นสวัสดิการการบริหารจัดการธุรกิจเพื่อสวัสดิการต่างๆ โดยแต่ละกองทุนจะแสวงหารายได้ และจัดสวัสดิการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ภายใต้การลงทุนในรูปแบบต่างๆ เช่น การลงทุนความเสี่ยงต่ำ เช่น บัญชีเงินฝากประจำ การซื้อสลากออมสิน การทำธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) เช่น ธุรกิจน้ำดื่มท่างาม ธุรกิจร้านกาแฟ รวมทั้งการลงทุนประกอบอาชีพอื่นๆ ซึ่งนอกจากจะนำผลกำไรทั้งหมดกลับคืนสู่กองทุนฯ แล้ว ยังเป็นการช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ให้แก่คนในชุมชน รวมทั้งการบริหารจัดการสวัสดิการในรูปแบบต่างๆ เช่น ทุนการศึกษา ทุนผู้พิการยากไร้ ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจของชุมชนได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม


แนวคิดและรูปแบบของการทำธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) มาจากการที่กองทุนฯ ต้องการธุรกิจที่ไม่ได้หวังผลกำไรเป็นตัวตั้ง แต่สามารถสร้างรายได้หรือผลตอบแทน รวมถึงประโยชน์ส่วนรวมให้กับชุมชนได้ จึงเป็นที่มาของการลงทุนธุรกิจโรงงานน้ำดื่มของกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลท่างาม ภายใต้ชื่อ “น้ำดื่มท่างาม” ซึ่งการดำเนินธุรกิจนี้เป็นการนำเงินจากกองทุนฯ มาใช้ในการลงทุน และบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งค่าแรงงาน ค่าวัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น สิ่งนี้ก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ และเพิ่มรายได้ ตลอดจนสามารถทำให้คนในชุมชนเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัยและมีราคาถูกกว่าท้องตลาด นอกจากนั้น ทางกองทุนฯ ยังมีธุรกิจร้านกาแฟ ภายใต้ชื่อ “Tar-Ngam coffee” ที่จำหน่ายเครื่องดื่ม อาหาร และผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรอินทรีย์ของชุมชน เช่น ผัก ผลไม้ สินค้าแปรรูป


นายชินวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งของกองทุนฯ คือ การช่วยแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือน เนื่องจากประชาชนยังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ มีหนี้สินและไม่มีเงินออม ทำให้ขาดส่งเงินเข้ากองทุนฯ จึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง “กลุ่มออมทรัพย์ของกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลท่างาม” เพื่อออมเงินวันละบาท ให้สมาชิกสามารถส่งเงินสมทบรายปีเข้ากองทุนฯ ลดปัญหาการขาดส่งเงินสมทบที่ทำให้ต้องขาดการได้รับสิทธิ์และสวัสดิการ วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ฯ เพื่อส่งเสริมและสร้างนิสัยการออม รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการออมให้กับคนในชุมชน


“จุดเด่นของกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลท่างามคือการเป็นมากกว่ากองทุน เพราะเป็นการจัดสวัสดิการต่อสวัสดิการ ด้วยการนำธุรกิจเพื่อสังคม มาส่งเสริมอาชีพ สร้างรายได้ ลดปัญหาหนี้สินให้แก่คนในชุมชน โดยที่คนในชุมชนมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ จัดการตัวเองได้ตามศักยภาพที่มีในพื้นที่ ผลที่เกิดขึ้นไม่ได้แค่ทำให้คนในชุมชนมีชีวิตดีขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถลดหนี้และภาระของครอบครัวได้มากกว่าเดิม ทำให้ชุมชนสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง นี่จึงเป็นก้าวที่สำคัญของการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน”


“พัฒนาแหล่งน้ำให้มีชีวิต” สร้างสมดุลที่ยั่งยืน

กองทุนสวัสดิการชุมชนเทศบาลตำบลออย หนึ่งในกองทุนสวัสดิการชุมชนดีเด่นที่ได้รับรางวัล “ด้านการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์พลังงาน การจัดการขยะ การจัดการและฟื้นฟูภัยพิบัติ” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างกองทุนฯ ที่มีแนวคิดและการดำเนินการ “โดดเด่น” ในด้านการบริหารจัดการ พัฒนาแหล่งน้ำ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในชุมชน ที่นำไปสู่การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนอย่างยั่งยืน


นางสาวนารี เวียงคำ ประธานกองทุนสวัสดิการชุมชนเทศบาลตำบลออย อำเภอปง จังหวัดพะเยา กล่าวว่า กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลออย จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2552 ที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มองค์กรต่างๆ ในพื้นที่ตำบลออย ซึ่งแรกเริ่มมีการขับเคลื่อนสวัสดิการอยู่ 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการเกิดและคลอดบุตร 2) ด้านการเจ็บป่วย และ 3) ด้านการเสียชีวิต ต่อมาได้มีการเพิ่มสวัสดิการด้านอื่นๆ เข้าไปเพื่อให้ครอบคลุมในทุกด้าน เช่น การศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับสวัสดิการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีที่มาจากปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี ทำให้พื้นที่ของตำบลออย ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ คนในชุมชนไม่มีน้ำใช้สำหรับการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน และการทำเกษตรกรรม รวมถึงความขัดแย้งเรื่องการแย่งน้ำ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายให้กับคนในชุมชนเป็นอย่างมาก ประกอบกับพื้นที่ในชุมชนมีแหล่งน้ำธรรมชาติมากถึง 4 สาย ได้แก่ แม่น้ำงิม แม่น้ำเงิน แม่น้ำทาย และแม่น้ำสล็อด แต่ก็ยังไม่สามารถกักเก็บน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้ ปัญหาดังกล่าวทำให้คณะกรรมการและสมาชิกของกองทุนฯ รวมถึงคนในชุมชนเริ่มหันมาตระหนักและให้ความสนใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม จึงนำมาสู่การหาแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกันของคนในชุมชนและภาคีเครือข่าย


แนวทางการจัดการฟื้นฟูแหล่งน้ำ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ได้ใช้กลไกแบบการมีส่วนร่วมของสมาชิกกองทุนฯ คนในชุมชน และขยายผลไปยังภาคีเครือข่ายในพื้นที่นอกชุมชน ที่เน้นการลงมือปฏิบัติจริง โดยมีการบริหารจัดการน้ำผ่านการขับเคลื่อน “โครงการสร้างฝายมีชีวิต พิชิตภัยแล้ง” ซึ่งสามารถสร้างอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้คนในชุมชนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน นอกจากนั้นกองทุนฯ ยังมีการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ การสร้างจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับคนในชุมชน การปลูกต้นไม้ การบริหารจัดการขยะ ตลอดจนการฟื้นฟูพื้นที่ริมคลอง โดยให้ชาวบ้านในชุมชนปลูกหญ้าแฝกเพื่อลดการพังทลายของดินในหน้าน้ำหลาก ซึ่งเป็นการส่งเสริมและพัฒนาแหล่งน้ำให้สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดแก่คนในชุมชนได้


“เรื่องการให้สวัสดิการแก่สมาชิกกองทุนฯ เราไม่ใช้เงินเป็นตัวตั้ง แต่เราใช้การสร้างความเข้าใจ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และให้คนในชุมชนหันมาตระหนักในเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม ดั้งนั้นกองทุนฯ จึงมองว่าน้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต การที่กองทุนพัฒนาแหล่งน้ำให้กับชุมชนจึงเป็นการคืนสวัสดิการให้แก่ทุกคน เพราะเรามองว่าเมื่อสุขภาพของคนในชุมชนดีขึ้น การจ่ายสวัสดิการชุมชนเพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาล จะลดลงไป”

นางสาวนารี กล่าวปิดท้ายว่า ปัจจัยความสำเร็จของกองทุนสวัสดิการชุมชนเทศบาลตำบลออย คือ ความร่วมมือร่วมใจและคนในชุมชนลงมือปฏิบัติจริง รวมถึงการให้ความสำคัญด้านการพัฒนา อนุรักษ์แหล่งน้ำ และสิ่งแวดล้อมรอบๆ ชุมชน ที่สามารถสร้างอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนได้อย่างชัดเจน นี่จึงเป็นการพัฒนาพื้นที่ร่วมกันของคนในชุมชนที่นำไปสู่การพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม